ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559

เรื่องสั้น- ก่อนโลกาวินาศ -

ก่อนโลกาวินาศ

            หลอดไฟบนเพดานตรงช่องทางเดินวิ่งสวนทางกับทิศทางที่รถเข็นเปลกำลังเคลื่อนไป  ความสว่างของหลอดไฟจ้าขึ้นปะทะใบหน้าของผู้ที่นอนอยู่บนรถเข็นเป็นระยะ  แสงไฟทำให้เขาต้องหรี่ตากลมโตให้เล็กลง  คิ้วที่ขมวดอยู่ปรากฏ  แวววิตกกังวลไว้บนใบหน้า
            วนัสรู้สึกถึงความลื่นไหลของล้อรถเข็นที่เขากำลังนอนอยู่  มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ออกจะเฉื่อยด้วยซ้ำไป  แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงหรือเร่งรีบไปกว่านี้   เขานอนนิ่งอยู่บนรถเข็น  หรี่ตามองดูเพดานและหลอดไฟที่กำลังเคลื่อนผ่านทีละดวงๆ  ยิ่งผ่านไปหลายดวงหัวใจของเขายิ่งเต้นแรงและหนักหน่วงขึ้นเป็นลำดับ  มันเต้นแรงเสียจนเขารู้สึกว่ามันแทบจะทะลักออกมาสาดเลือดสดๆ ใส่ใบหน้าของผู้ที่กำลังเข็นเขามาเลยทีเดียว
            วนัสเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อทำลายความเงียบอันเยียบเย็นและปลุกปั้นกำลังใจของตนให้กล้าแข็ง
            “เวลาเท่าไหร่แล้วครับคุณ”  เขาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุดทั้งที่ปากคอแห้งผาก มันเลยกลับกลายเป็นเสียงที่แหบเครือเบาหวิว  ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าที่จะประสานสายตากับชายชุดเขียวที่เข็นเขามา   แน่ล่ะเขาจะแสดงความขี้ขลาดออกมาให้ใครเห็นขณะนี้ไม่ได้
            ผ่านไปหลายอึดใจชายชุดเขียวจึงเอ่ยขึ้น   
            “สี่ทุ่มสิบนาที  สี่ทุ่มสิบนาทีของวันที่สิบเอ็ดมกราคมครับคุณ”
            วนัสปล่อยแขนขาที่อ่อนระทวยให้แน่นิ่ง  เขาหรี่เปลือกตาลงจนเห็นแสงเพียงลางๆ เหงื่อเม็ดโป่งผุดขึ้นตามใบหน้าและลำตัวทั้งที่อุณหภูมิของอากาศออกจะเย็นสบาย  เขารู้ว่าเวลาของวันนี้กำลังจะหมดลงอีกไม่ถึง                                                                                         สองชั่วโมงข้างหน้านี้  แม้เขาจะมีเหตุผลและคำตอบให้กับตัวเองชัดเจนเพียงใด  แต่ความกลัวซึ่งไม่อาจจำกัดขอบเขตของมัน ได้ยึดครองทุกอณูหัวใจของเขาไว้สิ้นแล้ว  แต่ความกลัวที่ปรากฏขึ้นใช่ว่าเนิ่นนานเสมอไป ฉับพลันที่เขานึกถึงความเลวร้ายที่เกิดกับเพื่อนร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ ที่หนักและรุนแรงกว่า ความกลัวก็แผ่วแรงลง
            เสียงล้อรถเข็นหมุนแกรกกราก  เปลถูกเหวี่ยงเลี้ยวไปทางซ้าย 
            แล้วชายชุดเขียวก็เอ่ยขึ้น  “คุณได้อะไรจากการ      กระทำครั้งนี้”  
            วนัสลืมตาด้วยท่าทีกระตือรือร้นขึ้นอย่างฉับพลัน ที่รู้ว่าอย่างน้อยก็มีบางคนสนใจเรื่องของตัวเอง  
            “คุณรู้เรื่องได้ยังไง”   
            “ก็กลุ่มคนที่มารอรับ   เออ...รับชิ้นส่วนคุณเขาพูดกัน”
            วนัสบอกออกไปอย่างรวบรัดและภาคภูมิ
            “ชีวิตผม  ผมย่อมเป็นผู้เลือก”  เขาจงใจเว้นระยะหลายอึดใจก่อนที่จะเล่าต่อ  “ผมเซ็นสัญญาขายมันให้กับนักธุรกิจคนหนึ่งเมื่อสิบปีที่แล้ว”
              เงียบไปครู่หนึ่ง  “เท่าไหร่”  ชายชุดเขียวคล้ายไม่เชื่อสิ่งที่วนัสพูด
            “สี่สิบล้าน”
            “อืม.. เยอะเหมือนกัน   แล้วมีเงื่อนไขที่คุณต้องจ่ายคืนยังไง”
            “ทุกอย่างเป็นของเขาเมื่อผมอายุครบสี่สิบปี”
            “หมายถึงสิ้นวันนี้”
            “ใช่ ผมครบสี่สิบปีวันนี้”
            “คุณได้ใช้เงินจำนวนนั้นสิบปี”
            “ใช่”
            “คุณเบี้ยวเขาก็ได้นี่”   ชายชุดเขียวเสนอแนะ
            “คุณคิดง่ายๆ กลไกการอยู่มันมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน                                                                                                               มากมาย  คุณคิดหรือว่าผมจะอยู่ได้อย่างเป็นสุข ”
            “คุณต้องบ้าแน่...ขายชีวิตไปได้อย่างไร  ใครเขาก็ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทั้งนั้น  กับแค่เสพสุขสิบปีกับเงินสี่สิบล้านแล้วก็ตาย                                                                                         มันมีประโยชน์อะไร  คุณ...ไม่รู้จักคุณค่าการมีชีวิต”   ชายชุดเขียวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
            วนัสมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น  เขารวบแขนทั้งสองข้างไปหนุนหัวให้สูงขึ้น เพื่อจะได้เห็นหน้าของชายชุดเขียวได้ถนัดโดยไม่ต้องเหลือบตาลงดู  
            ชายชุดเขียวพูดขึ้นเมื่อเห็นวนัสไม่โต้ตอบ 
            “คุณไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต  คิดแค่เสพสุขให้อิ่มแล้วก็ตายไป  ไม่ต่างกับพวกพืช  พวกหนอน หรือ สัตว์ชั้นต่ำ คุณเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ”
            “อะไรล่ะคือคุณค่าของการมีชีวิต”  วนัสโต้บ้าง
            อึ้งไปนิดหนึ่งก่อนที่ชายชุดเขียวจะตอบคำ 
            “การที่ต้องมีชีวิตอยู่นั่นล่ะคือคุณค่าของมัน”
            “หมายถึงการอยู่ๆ ไปเพื่อช่วยกันผลาญทรัพยากรของโลกให้หมดไวๆ แล้วก็ตายพร้อมกันงั้นเหรอ”      
            “ไม่..คุณอย่าเฉไฉสิ   อย่างน้อยเราก็ต้องทำความดี  มีชีวิตเพื่อผู้อื่น  ใครก็ต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นทั้งนั้น”  เขาเปล่งเสียงดังขึ้น
            “ใช่ผมก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น”
            “แต่คุณเลือกทางอื่นก็ได้นี่”
            “ทางเลือกไหนล่ะ ...   ผมได้ทำอะไรมาเยอะแยะ ตลอดสิบปีมานี่  และคิดว่าถ้าสวรรค์มีจริงผมคงจะได้อยู่ที่นั่น  นี่เป็นผลมาจากการตัดสินใจของผมในครั้งนั้นล่ะ ถ้าผมยังมีสภาพเหมือนเดิมคิดหรือว่าจะมีโอกาสได้ทำอะไรมากมายถึงเพียงนี้   แล้วคุณคิดว่าผมเดินมาถูกทางไหมล่ะ”
            ไม่มีคำตอบจากชายชุดเขียว  รถเข็นยังมุ่งไปสู่ปลายทางด้วยท่าทีไม่เร่งรีบ
            “คุณรู้ไหม...  มันเป็นหนทางเดียวที่ผมจะสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองและครอบครัวได้สุขสบาย  ได้ทำ                                                            ในสิ่งที่อยากทำ  ได้กินอย่างที่ควรได้กิน  ได้ช่วยเหลือเจือจานคนอื่นอย่างที่คนควรได้ทำ  ผมโชคร้ายตรงที่ผมได้ เกิดมาเป็นคนชนชั้นล่าง  อดอยาก  ด้อยการศึกษา  อัตคัต  ขัดสนแม้กระทั่งโอกาส  ไม่ค่อยได้ลิ้มรส ความสุขสบาย วันๆ แค่วุ่นวายอยู่กับการหาเลี้ยงชีวิตให้รอดเท่านั้นยังลำบาก  พวกคนรวยที่ว่าเป็นคนชั้นสูงเคยดูแลบ้างไหม ไม่เลย....... พวกเขาเห็นแก่ตัวทั้งนั้น  อยู่อย่างสุขสบาย เห็นเรื่องความลำบากของชนชั้นล่างเป็นเรื่องธรรมดาเป็นความชาชิน เป็นชะตากรรมที่ต้องแบกรับไปตลอดชีวิต พวกเขาไม่มองหรอกว่าสิ่งเหล่านั้นคือความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ที่ต้องได้รับการแก้ไข และได้รับความเห็นใจ เพื่อแบ่งสรรทรัพยากรของโลกให้ทุกคนได้รับเท่าเทียมกัน ซึ่งแน่ล่ะ...มันไม่มีวันเป็นไปได้   แล้วผมผิดเหรอที่จะเห็นแก่ตัวบ้างโดยไม่มีใครเดือดร้อนเพราะผมเลยสักนิด”
            “เหตุผลของคุณก็เข้าข้างตัวเองเกินไป  มันเป็นบุญกรรมที่แต่ละคนสั่งสมมา”  ชายชุดเขียวกล่าวด้วย น้ำเสียงนุ่มนวล ทั้งสายตายังจับจ้องจุดหมายที่จะไปแต่วนัสก็โต้ทันควัน 
            “เห็นไหม...คุณก็เหมือนพวกเขา  เอาเรื่องบุญกรรมมาปลอบโยนคนอื่นที่ด้อยโอกาสในชีวิต เพื่อปกปิด                                                                                                                      ความเห็นแก่ตัวและความตะกละตะกลามของตัวเอง”
            “ก็แล้วแต่คุณจะคิด  คุณเลือกเองนี่  และอีกอย่างคุณก็ใกล้ตายแล้วด้วย”  ชายชุดเขียวพูดเสียงขุ่น
            “คุณก็ต้องตาย  หรือใครๆ ก็ต้องตาย”
            “แล้วไง”
            “ความตายเป็นสัจจะ  แม้ผมเลือกเกิดไม่ได้แต่นับว่า โชคดีที่ผมเลือกที่จะตายได้อย่างอาจหาญ  ไม่มีใครหรอกที่กล้าเผชิญกับมันได้อย่างกับผม”
            “คุณอย่าพูดเลย  ลองฟังเสียงหัวใจของตัวเองเต้นก่อนเถอะ  ที่คุณพูดมาทั้งหมดเป็นการปลอบใจตัวเองทั้งนั้น ที่แท้คุณกลัวมัน  กลัวมันจะมาถึงเร็วๆ   ต่างหาก”
            “ไม่จริง...ผมรู้ตัวเองดี  ผมจะบอกคุณไว้ว่าไม่มีอะไรน่าท้าทายเกินกว่าการเผชิญกับความตาย”
            “คุณอาจจะรู้สึกเสียใจก็ได้เมื่อถึงเวลา  เอาล่ะ ถึงแล้ว  เป็นอันว่าผมหมดหน้าที่  และรู้สึกดีที่ได้คุยกับคุณ  ขอให้คุณได้พบกับสิ่งที่คุณรอคอยด้วยความสมหวังเถอะ”   ชายชุดเขียวเน้นคำจริงจัง  แสยะยิ้มแล้วผละไป
            ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกโดยชายที่สวมชุดขาว  แสงไฟเจิดจ้าจนวนัสต้องหลับตาปี๋  เขาได้กลิ่นไลโซล ฉุนจนแสบจมูก   หัวใจที่เพิ่งราบเรียบสงบลงเมื่อครู่ก็ห้อพยศ ดังม้าป่าที่ได้กลิ่นความตายจากเสือนักล่า  มันเต้นแรง จนแทบจะระเบิดออกจากโครงอกให้ได้  เขากระพริบตาถี่ๆ  ก่อนที่จะลืมตาขึ้น  ภายในห้องอันกว้างใหญ่อัดแน่นด้วยผู้คนมากมาย  บ้างนั่ง  บ้างยืน  บ้างนอน  บนเตียงผู้ป่วยที่มีสายระโยงระยาง  และมีหญิงชายชุดขาวเดินกันขวักไขว่   ปฏิกิริยาของคนเหล่านั้นหันมาสนใจเขาทันทีตั้งแต่แรกมาถึง                                                                                                 มีเสียงซุบซิบและชี้ชวน ให้ดูที่ตัวเขา  ตาของคนเหล่านั้นแวววาวด้วยความปิติ  เต็มเปี่ยมด้วยความหวังบวกกับความหื่นกระหายเห็นแก่ตัว 
            จวนเที่ยงคืน  การชำระล้างทำความสะอาดจึงเสร็จสิ้น  วนัสถูกเปลี่ยนให้นอนบนเตียงที่ปูผ้าสีขาวสะอาดตาหลังใหญ่ด้วยตัวล่อนจ้อน  ข้างๆ  เป็นโต๊ะวางถาดใส่เครื่องมือต่างๆ  มันวาววับ  เขานอนนิ่งไม่ยอมพูดจา       หรือสบตากับคนเหล่านั้น   แม้จะมีใครบางคนที่อยากรู้อยากเห็นเข้ามาทำทีสนใจซักถามก็ตาม  วนัสรู้ว่าล้วนแต่ไม่มีประโยชน์อันใด  เพราะไม่มีใครพร้อมที่จะใส่ใจฟังเขาจริงๆ  ไม่มีใครที่อยากจะช่วยเขาให้หลุดพ้นจากสภาวะนี้  
            คนเหล่านั้นจ้องตาเป็นมันที่อวัยวะของเขาเท่านั้น  ส่วนหูของพวกเขาก็คอยเงี่ยฟังเสียงคู่แข่งที่อยู่รอบข้าง เพื่อหาเล่ห์เหลี่ยมแย่งชิงสิ่งที่ตนปรารถนาให้ได้ถึงขั้นนี้แล้ว วนัสรู้ดีว่าคงไม่มีใครสร้างปาฏิหาริย์ให้เขาหลุดพ้นจากความตายที่กำลังจะมาถึงนี้ไปได้  ความหวังลึกๆ ที่เคยมีแม้จะริบหรี่  ตอนนี้มันถูกเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่นาทีฆ่ามันแล้ว จากนั้นเขาถูกชายชุดขาวสองคนมัดตรึงไว้กับเตียง
            เที่ยงคืน  ชายเจ้าของสัญญาอยู่ในชุดอันภูมิฐานราคาแพง  ก้าวเขามาในห้องพร้อมกับน้ำหอมกลิ่นฉุนแปร่งๆ  เขาเดินเฉียดวนัสไปโดยไม่เหลือบแลแม้หางตา  ปล่อยให้สายตาวิงวอนคู่นั้นต้องเหือดไป  วนัสนึกทุเรศตัวเองอยู่ในใจที่ปล่อยให้พฤติกรรมของความอ่อนแอเมื่อครู่ทำลาย ความภาคภูมิใจในตัวเองลง  เขาคือนักธุรกิจที่ไม่อาจเสียเวลาไปเพราะความรู้สึกทั้งกับของตนเองหรือของใครๆ  กำไรสูงสุดคือเป้าหมาย  เป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จของเขา เขาก้าวขึ้นโต๊ะประมูลด้วยความมาดมั่น  ประกาศด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชัดเจน
            “ท่านผู้ทรงเกียรติ  ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น  แม้เพียงเสี้ยวเวลาหนึ่งของการมีชีวิตก็ตาม  เราได้เสนอชิ้นส่วนของร่างกายที่สมบูรณ์  ดังที่ปรากฏต่อหน้าท่านแล้ว  และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา  ข้าพเจ้าขอเริ่มการประมูล ณ บัดนี้”   มีเสียงปรบมือกราวหนึ่งแล้วเงียบลง
            “ข้าพเจ้าจะเริ่มประมูลชิ้นส่วนภายนอกเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เขาได้ตายช้าๆ และท่านทั้งหลายจะได้ชิ้นส่วนที่สดที่สุด  ขอเริ่มที่ขาทั้งสองข้าง  ราคาเริ่มต้นที่สองล้านบาท”
            สิ้นเสียงประกาศลง  ราคาขาทั้งสองข้างของวนัส ขยับสูงขึ้นเป็นลำดับ  สามล้าน  ห้าล้าน  แปดล้าน  สิบล้าน  จนสิ้นเสียงเคาะหลังจากนับสาม  ขาทั้งสองข้างของวนัสก็เป็นของหนุ่มมหาเศรษฐีผู้ขาด้วนจากจากอุบัติเหตุด้วยราคาที่แสนถูกสำหรับเขา  เขายิ้มกริ่มอย่างผู้มีชัยในขณะที่ชายหญิงชุดขาวหลายคนช่วยกันเฉือนเอาขาทั้งสองข้างของวนัสออกมาต่อให้เขา  เลือดสดๆ  สีแดงเข้มทะลักออกมาจากโคนขาทั้งสองข้างบวกกับความเจ็บปวดที่ไม่เคยมีครั้งใดเทียบเท่าได้เลยในชีวิต  ทำให้วนัสถึงกับใบหน้าเหยเกลำตัว ที่เกร็งกระตุกจนถูกเชือกที่รัดตัวเขาอยู่กดลงบนเนื้อหนัง  เป็นร่องลึก  เขากลั้นหายใจและกัดฟันแน่นเพื่อผ่อนคลาย ความเจ็บปวดนั้น  แม้มันได้ผลมากมายนักแต่ก็ยังดีเสียกว่า จะปล่อยให้ความเจ็บปวดทรมานปลิดชีวิตเขาลงเสียตอนนี้  ผู้คนที่รายรอบยังมีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา  เหมือนพวกเขามองไม่เห็นความเจ็บปวด ความทรมานของร่างที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาแทบจะไม่ได้กลิ่นคาวเลือดอันคลื่นเหียนนั่นด้วยซ้ำ
            ชิ้นส่วนภายนอกของวนัสถูกประมูลและเฉือนออกทีละชิ้นๆ   แขนทั้งสองข้าง  ใบหู และ เครื่องเพศ  โดยเฉพาะชิ้นหลังนี้ใช้เวลาประมูลอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง  กว่าที่เฒ่าหัวงูคนหนึ่งจะได้ไปด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว
            ลำตัวด้วนกุดที่โชกเลือดสั่นกระตุกอยู่บนเตียงกลางห้อง  กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลกลบกลิ่นของไลโซนจนสิ้นสายตาของร่างนั้นเหม่อมองทะลุผ่านเพดานไปไกล ทว่าไร้จุดหมาย  น้ำใสๆ เอ่อท้นออกมาจนท่วมเต็มเบ้าตา   และไหลลงร่องหูที่แหว่งไปทั้งสองข้าง  ปากดำคล้ำเม้มสนิท ทั้งสั่นระริก  ทุกอย่างล่วงเลยมาจนเกือบจะถึงปลายสุดของ เส้นทางแล้ว  ความมืดดำที่อยู่ตรงปลายทางข้างหน้าเริ่มปรากฏให้เห็นรางๆ  วนัสเริ่มกล้าขึ้นมาอย่างจริงจังที่จะเผชิญกับมัน  เขาจะไม่ยอมปริปากร้องขอชีวิตหรือร้องโอดโอยแสดงความเจ็บปวดให้คนเหล่านี้ได้เห็นอย่างเด็ดขาด  เขาตั้งใจจะทิ้งเกียรติยศและความหาญกล้าครั้งนี้ไว้ แม้มันอาจจะจอมปลอมให้พวกเขาซึ่งกำลังเร่งเร้าการตายและกำลังมองเขาอย่างเหยียดหยันอยู่ขณะนี้ต้องสำนึกเสียใจ  เมื่อพวกเขาได้เห็นธาตุแท้อันต่ำช้าของตนเองในวาระสุดท้ายของชีวิต  เสี้ยววินาทีสุดท้ายของพวกเขาจะต้องสำนึกเสียใจ
            ความเจ็บปวดกินลึกไปทั่วทุกเส้นประสาทจนวนัสด้านชาไปทั้งตัว  ปฏิกิริยาและการรับรู้ต่อสิ่งรอบข้างด้อยลง  แต่หูที่ชุ่มเลือดทั้งสองข้างยังแว่วได้ยินถึงการให้ราคาและการต่อรองเปลี่ยนมือสำหรับอวัยวะชิ้นต่อไป   ไม่มีน้ำเสียงใดเลยแสดงความสงสารสังเวชต่อสภาพร่างที่อยู่ต่อหน้า และไม่มีน้ำเสียงใดที่ยอมลดละต่อการแย่งชิงในสิ่งที่ตนเองปรารถนา  ตาทั้งสองข้างของวนัสถูกควักออกในนาทีต่อมาด้วยราคา แสนแพง  เมื่อลูกตาหลุดออกจากเบ้า  สายเลือดที่กลั่นจากน้ำตาก็ทะลักไหล  ใบหน้าที่กระตุกถี่ๆ บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอันแสนสาหัส  การหายใจเริ่มขาดเป็นห้วงๆ  หัวใจก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง  แล้วด้ายเส้นเล็กจิ๋วที่จำจองชีวิตไว้ต้องขาดผึงด้วยการกระตุกสองสามครั้ง
            ชายหญิงชุดขาวหลายคนช่วยกันชำแหละช่องท้องของซากศพออก  เฉือน ตับ ไต ไส้พุง ปอด และ หัวใจ ให้กับผู้ที่ประมูลได้  แม้แต่กระดูกและผิวหนังก็มีคนประมูลเอา
            รุ่งเช้าชายเจ้าของสัญญาเดินออกจากห้องไปอย่างเป็นสุข  ธุรกิจของเขาราบรื่น และเหนืออื่นใดเขาได้กำไรมหาศาล  เขาดีใจจนแทบอยากกระโดดออกจากห้องไปเลยทีเดียว  รอยยิ้มและย่างก้าวที่กระฉับกระเฉงบ่งบอกได้ชัดเจนถึงความสุขนั้น  ในมือเขายังหิ้วถุงสีดำใส่เศษเนื้อ เศษไขมัน และเศษกระดูกบางส่วนที่ไม่มีใครต้องการ  เขาก้าวขึ้นรถคันหรูที่มีคนขับคอยโค้งคำนับอยู่  รถเคลื่อนออกไปอย่างนุ่มนวล  ชั่วระยะเวลาไม่นานเขาบอกคนขับให้จอดแถวกองขยะแล้วโยนถุงดำนั้นทิ้งไป   หลังจากนั้นรถคันงามก็นำเขาสู่อัครสถานเพื่อการพักผ่อนอย่างเป็นสุข
            ที่กองขยะกลิ่นคาวเลือดอันเย้ายวนดึงดูดหมาขี้เรื้อนหลายตัว  พวกมันกระโจนเข้าใส่ถุงดำนั้นด้วยความกระหายหิว  พวกมันเสี่ยงชีวิตเข้ากัดฟัดกันเพื่อแย่งชิงเศษเนื้อและเศษกระดูกจนฝุ่นคลุ้ง  เสียงเห่าหอน  ขู่คำราม  ดังขึ้นไม่ขาดสาย  
            เนิ่นนาน...จนเศษเนื้อ  เศษกระดูก  ถูกหมาที่มีกำลังมากกว่าคาบหนีไป  ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายจึงค่อยสงบลง


วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชื่อรุ่น ของนักเรียน โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

รุ่น 8 เวฬุการ
ก่อเกิด ต่อจาก กอเดียว
เกาะเกี่ยว กอแกน แก่นสาน
สืบต่อ กอฝัน “เวฬุการ”
สร้างศานต์ น้อมนร ปฐวี

รุ่น7 ONENESS (หนึ่งอนันตกาล)
ขณะที่อดีตคืออนาคต
ขณะที่กลางคืนคือกลางวัน
ขณะที่ฉันคือเธอและเธอก็คือฉัน
ขณะนั้นเราคือ "หนึ่งอนันตกาล"


รุ่น6 วิจิตศิรา (สายธารแห่งการรู้แจ้ง)
ดั่งศิรา รินราด พื้นผาดแห้ง
ดั่งศิรา แหล่งชุบนรา มิอาสัญ
ดั่งศิรา ก่อกำเนิด สรรพชีวัน
ดั่งศิรา สรวงสวรรค์ นิรันดร์วิจิต

รุ่น5 คีตกาล
"คีตกาล" บรรสานพร้อม บรรเลง
สรรเส็ง สัพพัญญู สุ่ศานต์
เห่รัก ห่มทั่วหล้า จันทรากาล
นิตย์นาน มิสูญเสียง สำเนียงงาม

รุ่น4 ประกายมาศ
เกิดจากมาศ จึ่งเป็น "ประกายมาศ"
ใจผุดผาด ผ่องแผ้ว ดั่งแก้วใส
เป็นน้ำทิพย์ ชโลมหล้า คู่ฟ้าไทย
รินไหล มิแห้งหาย จากใจชน


รุ่น3 แสงแห่งกาญจน์
ดั่งผืนภพสงบรับสรรพสิ่ง
ดั่งน้ำนิ่งสดับรับสรรพเสียง
ดั่งป่าใหญ่โอบกอดหล้าคู่ฟ้าเคียง
รองเรืองมิราแรง แสงแห่งกาญจน์

รุ่น2 เมล็ดพันธุ์ของวันพรุ่ง   
กลางเดือนมีนาคมวันสิ้นปีการศึกษา พี่ๆ ชั้น ป.6 เพิ่งจบจากไป
นักเรียนชั้นอื่นก็ปิดเรียน โต๊ะเรียนว่างเปล่า ห้องเรียนก็เงียบเหงา
ความเงียบได้กลืนกินทุกอย่างในโรงเรียน เหมือนโลกได้หยุดหายใจลงชั่วขณะ
แต่ความเงียบก็ไม่อาจทนอยู่นาน
เมื่อยอดอ่อนของต้นจานได้ผลิออก ดอกอินทนิลก็ค่อยๆ แย้มบานเช่นกัน
ฉับพลันนั้นบทเพลงอันเพราะพริ้งจากการขับขานของจักจั่นเรไรก็ดังระงม
วันนี้ ....ไม่ใช่การจากลา
แต่เป็นวันแห่งฤดูกาลใหม่ที่กำลังเริ่มต้น
เธอเป็นความหวัง
เพราะเธอคือเมล็ดพันธุ์ของวันพรุ่ง

รุ่น1 ลมหายใจของกาลเวลา
ลมหายใจแม้เพียงแผ่วเบา แต่หมายถึงการมีชีวิต


วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เรียนรู้เพื่อเข้าใจมนุษย์

ผมเชื่อว่า ถ้าเราอยากรู้จักมนุษย์ให้ใกล้เคียงความแท้จริง เราเรียนรู้ได้จากวรรณกรรม. เพราะวรรณกรรมเปิดเปลือกทุกชั้นของเรา ทั้งคลี่ทุกเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่
...
"ไม่มีใครเขียนจดหมายหานายพัน"
ผมไปเจอหนังสือ "ไม่มีใครเขียนจดหมายถึงนายพัน" จากร้านหนังสือเก่าลดราคาเหลือเพียง 20 บาท ทั้งที่เป็นงานของนักเขียนรางวัลโนเบลเลยทีเดียวแต่ราคายังถูกกว่าเบียร์กระป๋อง หรือพอๆ กับขนมขบเคี้ยว(แต่กระนั้นก็ยากจะหาคนซื้อ) เล่มนี้จัดพิมพ์โดยสัมนักพิมพ์ยาดอง ในเล่มไม่ระบุปีพิมพ์แต่ดูจากสภาพน่าจะพิมพ์ฉบับแปลนี้มาแล้วสักสิบกว่าปี คงพิมพ์ไม่เยอะแต่ก็คงขายไม่ได้อยู่ดีหมายถึงผู้จัดพิมพ์ก็เจ็บตัวไปตามระเบียบ เรื่องราวสะท้อนสภาพสังคม วัฒนธรรม รัฐและการเมืองในยุคเริ่มต้นของประเทศ ดำเนินเรื่องผ่านตัวเอกที่เป็นนายพลหลังเกษียณ ผู้รอคอย น่าเสียดายที่งานเขียนชั้นดีซึ่งต้องใช้การอ่านอย่างลึกซึ้งต้องถูกทิ้งขว้างไป
รู้จักผู้เขียนสักนิด
กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกวซ (Gabriel Garcia Marquez) นักเขียนชาวโคลอมเบีย รางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ปี ค.ศ. ๑๙๘๒ ผู้เขียน “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” (One Hundred Years of Solitude ผู้แปล ปณิธาน-ร.จันเสน ) เป็นนวนิยายชิ้นเอกแห่งศตวรรษที่ ๒๐ ที่ได้รับการยกย่องว่า “ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่” ด้วยการเขียนในแนวทางใหม่ สัจนิยมมหัศจรรย์ ( Magical Realism ) ความเจ็บปวดในวรรณกรรมลาตินอเมริกามักแสดงออกในรูปของสังคมที่ตกอยู่ในภาวะขัดแย้งระหว่างประเพณีนิยมกับสมัยนิยม ระหว่างเรื่องโกหกกับความเป็นจริง เพื่อจะหลีกหนีไปให้พ้นจากความทุกข์ทรมานเช่นนี้ ตัวประโยคในเรื่องราวจึงมักใช้ข้อความหรือประโยคที่เป็นสัญลักษณ์ เช่น “....โผผินไปสู่ดวงตะวัน ...โดยปราศจากความสนใจใยดีของกลุ่มผู้หญิงที่กำลังซักผ้าอยู่นั้น...” ดังที่ปรากฏอยู่ในนวนิยายเรื่อง “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว”
กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกวซ เคยพูดไว้ว่า “เป้าหมายวรรณกรรมของเราอยู่ที่การสร้างและการค้นหาเอกลักษณ์ของเราเองออกมา” และ “เราต้องสร้างความสุขของพวกเราขึ้นด้วยจินตนาการ บวกกับการรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องร่วมชาติของเรา”






รักในเอเดน

แรกตั้งใจเขียนเรื่องเหล่านี้ให้เด็กๆ มัธยมต้นที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้อ่านได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรัก เพราะพวกเขาอาจเข้าใจมันในมิติเดียว จนบางคนอาจถึงต้องลำบากในการคลำทาง
เมื่อทำเสร็จกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องราวที่ควรค่าต่อการพิเคราะห์ หากเราปรารถนาอยากให้คนรักได้เติบโตขึ้นไปพร้อมกัน
แต่ความเข้าใจต้องอาศัยการตีความ
เรื่องราวรักอันประหลาดเหล่านี้จะช่วยให้ท่านได้ตีความเรื่องรักได้หลายมิติ
‪#‎รักในเอเดน‬

35 เรื่องเร้นรัก
ความหมายของสิ่งต่างๆ ขึ้นอยู่กับที่ใครจะตีความ รักก็เช่นกัน แต่ละคนย่อมตีความไม่เหมือนกัน ปฏิบัติการแห่งรักจึงต่างกันไป
..
_ปฏิบัติการรักระดับพื้นผิวนั้น เรามักแสดงออกมาจากการคิดและความรู้สึก
_ลึกมาหน่อยเราปฏิบัติการแห่งรักไปเพราะความกลัว กลัวการถูกตัดขาด กลัวการโดดเดี่ยว เราจึงปรารถนาที่จะรวมเป็นหนึ่งกับอีกคน โดยต้องแลกด้วยกับอีกหลายอย่าง
_ยังมีอีกหลายชั้น
_ลึกสุดของปฏิบัติการแห่งรักก็คือ...

คำสัญญา

คำสัญญา
สัญญาเป็นเครื่องมือ ช่วยรับประกันความเสี่ยงให้กับอีกฝ่ายเป็นการสร้างความเชื่อใจที่มาจากภายนอก แต่ละคนที่พูดว่าฉันหรือผมขอสัญญา ประโยคนั้นกลับให้น้ำหนักต่อความเชื่อใจจากแต่ละคนได้ไม่เท่ากัน คู่สัญญาจะประเมินจากปูมหลัง จากบุคลิกภาพ จากภาษากายหรือหลักฐานที่เป็นรูปธรรมอื่นๆ แต่ที่สำคัญที่สุดของการประเมินความน่าเชื่อถือต่อคู่สัญญาคือการประเมินจากปูมหลังที่เป็นค่าเฉลี่ยของคนคนนั้นที่เคยผิดสัญญา 
อย่าใช้คำว่าสัญญาบ่อยแม้กับเรื่องเล็กน้อยเพราะถ้าเราผิดสัญญาแม้กับเรื่องเล็กน้อยนั้นๆ ก็นับเป็นจำนวนครั้งของการผิดสัญญาซึ่งจะถูกประมวลเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ดี คนที่มีค่าเฉลี่ยของการผิดสัญญาสูงก็จะได้รับความเชื่อใจน้อยและความนับถือก็จะน้อยลงด้วย
สำหรับเด็กคำสัญญาไม่มีเรื่องเล็กน้อยทุกคำสัญญามีความหมายและควรค่าต่อการจดจ่อเฝ้ารอ
..
ผมเพิ่งอ่าน..เรื่องนี้เขียนขึ้นปี ค.ศ.1939 ปีเดียวกันที่ผู้เขียนจะเสียชีวิตด้วยวัย45ปี
เรื่องนี้สะท้อนชีวิตของคนเร่ร่อนติดเหล้าที่พยามยามกอบกู้ศักดิ์ศรีของตนเองด้วยการพยายามจะทำตามคำมั่นสัญญาที่ตนได้ให้ไว้ การทำตามคำมั่นสัญญาคือหนทางเดียวเท่านั้นที่เขาพอที่จะได้รับคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกับคนอื่นๆ แต่..การรักษาคำพูดนี้ก็ไม่ง่ายเลย

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โครงการ การพัฒนาโรงเรียนต้นแบบเพื่อพัฒนาสมรรถนะครู


โครงการ การพัฒนาโรงเรียนต้นแบบเพื่อพัฒนาสมรรถนะครู 
ได้รับสนับสนุุนจากกองทุน Bkind 2558-2559

หลักการและวัตถุประสงค์
ด้วยโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ดำเนินการเพื่อ วัตถุประสงค์หลักได้แก่
1.      เพื่อเป็นโรงเรียนตัวอย่าง ด้วยการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนและนวัตกรรมองค์กร
1.1   วัตกรรมสำหรับการเรียนการสอนเพื่อมุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขในศตวรรษที่ 21  และ จากการที่ทดลองและพัฒนามากว่า 10 ปี  จึงได้นวัตกรรมในการจัดการเรียนการสอนที่สำคัญสองนวัตกรรมคือ  1) “จิตศึกษา” ซึ่ง เป็นนวัตกรรมที่จะทำให้ผู้เรียนไปถึงปัญญาภายใน  ได้แก่  การมีจิตใหญ่เพื่อรักได้อย่างมหาศาล  การเคารพคุณค่าตัวเองและคนอื่นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างภารดรภาพ  การมีสติชำนาญเพื่อเท่าทันอารมณ์  การมีสมาธิเพื่อกำกับความเพียรให้สำเร็จ  การมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่น เป็นต้น  และ 2) “หน่วยบูรณาการที่ใช้ปัญหาเป็นฐานการเรียนรู้หรือ PBL (Problem based learning)” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เป็น    Active Learning ที่จะทำให้ผู้เรียนไปถึงปัญญาภายนอก  ได้แก่ Reading comprehension,  Writing,  Arithmetic,  ICT skills,  Thinking skills,   Life & Career skills,  Collaboration skill  and  Core subject
1.2   พัฒนานวัตกรรมสำหรับองค์กรเพื่อมุ่งพัฒนาครู และการพัฒนาองค์กรที่เรียกว่า “ชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ” (PLC-Professional learning community) ซึ่งมีองค์ประกอบสองส่วนที่สำคัญคือ การสร้างความเป็นชุมชนให้เกิดขึ้นในองค์กร และ การจัดให้มีกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างหลากหลายระหว่างกัน  เป้าหมายสำคัญของ PLC คือ การสร้างการเรียนรู้ของครูร่วมกันเพื่อให้ทุกคนได้ยกระดับความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่จะสอน   มีทักษะการจัดการเรียนการสอน  และ มีจิตวิญญาณของความเป็นครู
รูปแบบการทำงานของ นวัตกรรม PLC, PBL, จิตศึกษา ที่จะส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน




2.      เพื่อขยายผลไปยังโรงเรียนของรัฐให้มากขึ้นเพื่อ ให้ถึงผู้เรียนจำนวนมากขึ้น  และ ในที่สุดจะเกิด Critical mass สำหรับการปฏิรูปการศึกษาของไทย  โดยโรงเรียนฯ ได้ดำเนินการกิจกรรม ดังนี้
2.1   เปิดรับให้ครู หรือโรงเรียนต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาดูงาน วัน (Open eyes) เพื่อจุดประกายให้เห็นความสำเร็จจากการใช้นวัตกรรมทั้งสามอย่าง
2.2   โรงเรียนสนใจที่ต้องการใช้นวัตกรรมหรือวิธีการบางส่วน   หลังจาก Open eye แล้วจะกลับมาอบรมระสั้น 2-3 วัน
2.3    โรงเรียนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ  จะมีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้ 
-             กระบวนการ  Open eye
-             อบรมหลักสูตรยาว 5-10 วัน เพื่อเรียนรู้นวัตกรรมทั้งหมด  PLC  PBL จิตศึกษา  
-             นำกลับไปใช้  โดยโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ตาม  Monitor สาธิตการสอน  ร่วมทำ Lesson study  ร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือ PLC  ปีละ 2-4 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับสภาพการเรียนรู้ของครูแต่ละโรงเรียน)
-             ถ่ายทำ Clip การสอนของครูในทุกชั้นเรียนเพื่อให้ครูเรียนรู้จากการสอนได้มากขึ้น
-             สร้างเครือข่าย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างโรงเรียน และ ทำ PLC online เพื่อการเรียนรู้ข้ามโรงเรียน และ เพื่อ Empower ครู
-             จัด Conference ใหญ่ปีละครั้ง เพื่อให้แต่ละโรงเรียนได้นำเสนอความสำเร็จ และเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับสังคม

รูปแบบการพัฒนาโรงเรียนของรัฐให้เป็นโรงเรียนตัวอย่างให้การปฏิรูปการจัดการศึกษา





               ด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ร่ามมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา และ สพป.นครราชสีมา 2และ 5  เพื่อพัฒนาโรงเรียนต้นแบบเพื่อพัฒนาสมรรถนะครู จำนวน 4 โรงเรียนได้แก่  โรงเรียนบ้านโค้งกระโดน โรงเรียนบ้านปอพราน  โรงเรียนบ้านดอนไพล และโรงเรียนโกรกลึก