ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

PBL อย่างโรงเรียนนอกกะลา


วิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาสะท้อนหลักคิดการจัดการเรียนรู้ PBL

· การจัดการเรียนการสอนแบบ Problem Based Learning (PBL)
การสอนวิธีนี้ค่อนข้างท้าทาย ขบถคิดเพราะใครจะเชื่อว่าการศึกษาจากนี้ต่อไปจะต้องเน้นทักษะซึ่งไม่เหมือนเดิม เพราะโลกมันแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ปีหน้าจะมีเด็กจำนวนหนึ่งถึงหลายล้านคน จะต้องใช้วัสดุหนึ่งในการเรียน เราเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ เราต่างหากที่มีทักษะไม่เท่าทันที่จะอำนวยการให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ เป็นเรื่องท้าทายมาก  ตัว Problem Based Learning เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดของแต่ละโรงเรียน มันคือรูปแบบของการเรียนรู้ที่จะพัฒนาทักษะใหม่ซึ่งจำเป็นในอนาคต เป็นขบถความคิดให้เราเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนไปจากเดิม ครูหลายคนบอกว่า เหลือเชื่อ ไม่อยากเชื่อ ผมเองก็ยังเชื่อการสอนแบบเดิมอยู่แต่ถึงนาทีนี้เราต้องค่อยๆ ทำใจยอมรับ มิฉะนั้นเราจะให้สิ่งบางสิ่งบางอย่างแก่เด็กที่ไม่เท่าทันกับโลกที่มันแปรเปลี่ยนไป
·  คำถาม .วิเชียรสร้างนวัตกรรม PBL ขึ้นมาอย่างไร 
เป็นเราครูทุกคน ที่สร้างนวัตกรรมนี้ขึ้นมา  นวัตกรรมเกิดจากการทำงานจริงแล้วมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งกระบวนการสร้างนวัตกรรมหรือกระบวนการพัฒนาคนต้องใช้เครื่องมือแบบนี้ มีศัพท์ใหม่เรียกว่า Professional Learning Communities (PLC) ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินแล้ว การทำงานของลำปลายมาศพัฒนามีพัฒนาการ เริ่มครั้งสิบปีที่แล้วเราใช้ พ...ปฏิรูปการศึกษาโดยมีบูรณาการเป็น Brain Set ตั้งแต่ต้น คิดว่าใช้อะไรดีที่จะเชื่อมต่อชุดความรู้เข้าเป็นเรื่องเดียวกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ ระหว่างคนไปเก็บดอกไม้ใส่ตะกร้าแล้วหิ้วมากับเก็บดอกไม้แล้วเอาด้ายมาร้อยเป็นพวง สองอย่างนี้ อย่างหลังเป็นการบูรณาการ  บางทีคนเข้าใจบูรณาการผิดนิดเดียวว่าเอาความรู้หลายๆ แบบมาวางกองรวมกันแบบเก็บดอกไม้ใส่ตะกร้า มันเป็นบูรณาการไม่ได้ เพราะมันไม่มีจุดเชื่อม ร้อยเรียงแล้วเชื่อมโยงกันเพื่อตอบโจทย์อะไรสักอย่าง  ดังนั้นการบูรณาการในปีแรกเราใช้ Story line ในการร้อยความรู้ ทำปีแรกล้มเหลวไม่เป็นท่า  เด็กมีอารมณ์ร่วมดีมากและเรื่องราวสนุกมาก แต่เด็กเข้าสู่หัวใจของเนื้อหาไม่ได้  การมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวแต่ไปไม่ถึงหัวใจ  ผมยกตัวอย่างบทเรียนของครูของผมคนหนึ่งเป็นครูใหม่อยากจัดกิจกรรมให้น่าสนใจ ใช้ angry bird เพื่อชูโรงเข้าสู่เนื้อหา แต่ปรากฏว่าทั้งชั่วโมงเด็กติดแต่ angry bird แต่เข้าสู่เนื้อหาไม่ได้ ก็จะเป็นประมาณนี้ในปีแรก  เมื่อเรารู้ข้อบกพร่องแล้วเราเปลี่ยนทันที ปีนี้ใช่แต่ปีหน้าอาจไม่ใช่ก็ได้ อาจมีสิ่งที่ใช่กว่า เพราะฉะนั้น ปีที่สองเราจึงนำบูรณาการเติมใส่กับ PBL แต่เป็น Project Based เอาโครงงานเข้ามาจับแล้วร้อยเนื้อหาทั้งหมดใส่เข้าไป รู้สึกว่าทำได้ดี เพราะทำให้เด็กได้ลงมือทำ เพราะหัวใจของ Project Based คือ Learning by Doingแต่ก็ยังไม่พอใจ ปีที่สามเราจึงใส่เรื่องการคิดเข้าไป  เพราะเรารู้สึกว่ามาตรฐานที่ 4 กำลังมาแรง เราใส่ทุกหน่วยการเรียนและทุกแผนการสอน ยิ่งดีขึ้น  เราเห็นผลงานที่เกิดขึ้นจากการคิด แล้วคิดเป็นระดับด้วยเราก็พอใจระดับหนึ่ง พอปีที่ 4 เราไปเจอเรื่องหนึ่ง ตอนนั้น Backward Design ยังไม่มา สิ่งที่เราพบคือ สิ่งที่เราสอนไปทั้งหมดนั้นเด็กได้เรียนรู้และเพียงแค่รู้เท่านั้น รู้เยอะแยะเลย แต่เข้าไม่ถึงหัวใจของความเข้าใจ  ปีที่สี่เราทำงานหนักมากเลยเพื่อให้ครูเปลี่ยนรูปแบบของหน่วยการเรียนเพื่อเป็น Teaching for Understanding  มีหน่วยการเรียนรู้และออกแบบหน่วยการเรียนนั้นให้มีหัวใจชุดความรู้ที่มารวมกันมีหัวใจชุดหนึ่ง ซึ่งครูทุกคนต้องถึงหัวใจชุดนั้น เพราะเป็นทั้งการ บูรณาการด้วยและเป็นการสอนเพื่อความเข้าใจด้วย พอพัฒนามาถึงตรงนี้เราพบว่า การทำแบบ Project Based ก็จริงทำแบบเติมความคิดให้ไปสู่ความเข้าใจก็จริง แต่มันจะกำหนดตายตัวเลยไม่ได้ เพราะปัญหาใหม่ที่มันเข้ามาปะทะเด็กมันเปลี่ยนตลอด ใช้หน่วยการเรียนรู้เดิมไม่ได้ มันไม่ได้ผล หน่วยนี้ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันจึงพัฒนาจากตรงนี้ไปเป็น Problem Based Learning และเราก็เห็นว่าพอใช้ Problem  Based Learning เด็กจะมีอารมณ์ร่วมในปัญหา เพราะมันเกี่ยวข้องกับฉัน ฉันต้องแก้ปัญหาให้ได้ แล้วในการแก้ปัญหาก็ต้องใช้นวัตกรรม และในการสร้างนวัตกรรมมันก็ต้องใช้ทักษะ แบบ Multiple เป็นทักษะที่หลากหลาย และความรู้ที่หลากหลาย จึงจะสร้างนวัตกรรมได้ และจะต้องบูรณาการคนด้วย สร้างเป็นวงจรได้ แล้วมันก็จะเกิดทักษะอื่นย่อยๆ ตามมา เป็นการตอบคำถามทั้งหมดว่า PBL ที่ลำปลายมาศพัฒนามันมีที่มาที่ไปอย่างไร และทั้งหมดเราสร้างมันขึ้นมา เวลาทำงาน ใครทำได้ ใครเจออะไร อะไรใช่หรือไม่ใช่ เราขมวดด้วยกัน เราต้องความเข้าใจทั้งหมดด้วยกัน
·  คำถาม เราจะทราบได้อย่างไรว่าจัดการเรียนการสอนแล้วจะได้ครบมาตรฐานตามหลักสูตร       
จุดนี้เป็นหน้าที่ครูที่ต้องทำงานมากขึ้น สมมติเด็กอยากเรียนรู้อะไรก็ตาม ครูจะต้องมองว่าสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้นั้นมันจะต้องประกอบไปด้วยชุดความรู้อะไรบ้าง มีเยอะขนาดไหน เอาชุดความรู้ที่เกี่ยวข้องเหล่านี้มาดูก่อนแล้วค่อยมาไล่เรียงว่าชุดความรู้นี้มันอยู่ในมาตรฐานไหน ตัวชี้วัดใด ทุกวิชาก็จะเจอชุดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น เมื่อเจอแล้วก็ต้องออกแบบว่าเด็กจะสร้างหรือมีชิ้นงานหรือภาระงานอะไรบ้าง แล้วก็ต้องคิดเอาไว้ก่อนว่าชิ้นงานหรือภาระงานนั้นมันไปเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะตามมาตรฐานเดิม และตัวชี้วัดตัวใด
·  คำถาม เป็นไปได้ไหมที่การสอนแบบ PBL ทำให้เด็กหลุดมาตรฐานไปบางตัว”   
แน่ นอนเป็นไปได้ แต่เราทำหลายโปรเจ็กค์ ไม่ใช่หนึ่งปีมีโปรเจ็กค์เดียว  บางมาตรฐานถูกประเมิน ทำซ้ำๆ ด้วยชิ้นงานหลายชิ้นหลายอันด้วยกัน  การออกแบบการเรียนรู้ทีมครูสำคัญมาก  การพัฒนาครูจึงสำคัญที่สุดและเรา(ลำปลายมาศพัฒนา)จึงพัฒนากระบวนการพัฒนา ครูที่นี่ขึ้นมาเพื่อให้มั่นใจว่าครูจะถึงพร้อมทั้งความรู้ความเข้าใจ ความสามารถในเชิงทักษะ และความสามารถในเชิงจิตวิญญาณ
·  คำถาม บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร ทำอย่างไร
เอื้ออำนวยด้วยการบริหาร ผู้บริหารโรงเรียนในฐานะผู้นำจำเป็นต้องเป็นผู้ชี้ทางให้ถูก ไม่ต้องบริหารเก่งก็ได้ แต่ต้องชี้ทางให้ถูก หากเราชี้ทางผิดไปองศาเดียว ปลายทางนั้น ผลของมันนั้นห่างกันเป็นร้อยกิโลฯ เลย เรื่องนี้พูดง่าย แต่ทำยากนะครับ  เพราะต้องใช้ทักษะการสร้างภาพในสมองขั้นสูง


วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

32 ครั้ง คือพลังชีวิต


เรื่องเล็กๆ ที่ผู้คนอาจมองข้ามอย่าง "การเคี้ยวอาหาร" กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ และส่งผลดีต่อสุขภาพหลายประการ

      เคี้ยวให้ถูก-เคี้ยวให้เป็น...ไม่ใช่แค่เคี้ยวๆ กลืน!



ทางโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของการเคี้ยวอาหาร จึงได้กำหนดเรื่องของการเคี้ยวอาหาร เป็นหนึ่งใน "สุขวาระ อาหาร 2555"  ดังนี้


32 ครั้งคือพลังชีวิต

“อยู่กับตนเองอย่างแท้จริง ด้วยการเคี้ยวอาหาร 32 ครั้ง ต่อคำ”

ฝึกฝนสมาธิ  จิตสงบ  กระตุ้นพลังสมอง  ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดี  เหงือกแข็งแรง  ช่วยให้กินอาหารได้ปริมาณพอดี ฯลฯ

จึงเชิญชวน "เคี้ยวอาหาร" ให้ถูก ให้เป็น เพื่อการมีสุขภาพที่ดี

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แก้คำผิด

"ทำไมครูโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจึงติดโชว์ผลงานของเด็กๆ โดยไม่แก้คำผิด?"  เป็นคำถามของครูที่มาเข้าอบรมหลายท่าน

การตรวจเช็คและแก้ไขโดยครูเป็นการมองจากครูฝ่ายเดียวซึ่งครูกำลังมองภาษาในรูปแบบตายตัว ไม่ยืดหยุ่น และไม่สามารถนำมาลองผิดลองถูกได้  การที่ครูแก้คำถูกผิดด้วยตัวแดงพรืดเต็มไปหมด อาจทำให้เด็กรู้สึกภาษาเป็นสิ่งน่ากลัว และอาจรู้สึกว่าตัวเองด้อยความสามารถจนไม่กล้าที่จะเขียนคำใหม่ๆ อีกต่อไป

มอนเตสซอรี่ก็เชื่อว่า ถึงเด็กจะเขียนผิดถูกอย่างไรก็ได้ แต่เมื่อเด็กเริ่มอ่านหนังสือได้เขาจะตื่นตัวที่จะเช็คคำผิดคำถูกด้วยตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเขารักการอ่านและมีประสบการอ่านมากขึ้นเขาจะยิ่งกระตือรือร้น ในการตรวจเช็คคำผิดด้วยตัวเอง

ณ โรงเรียนนอกกะลา  การตรวจแก้คำผิดจะต้องไม่เป็นการทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์ในตัวเด็ก
ระดับอนุบาล  ไม่มีการแก้คำผิดใดๆ ทั้งสิ้น  แต่ให้เห็นแบบถูกเสมอ
ระดับประถมศึกษา  อาจจะใช้วิธีการรวบรวมคำที่เด็กแต่ละคนเขียนผิดมาเขียนไว้มุมหนึ่งของกระดาน  ให้มีโอกาสได้เห็นคำเหล่านั้นบ่อยๆ และใช้บางคำในจำนวนนั้นอย่างถูกต้อง แล้วหลังจากนั้นเด็กๆ ก็จะตรวจเช็คสมุดของตัวเองอย่างกระตือรือร้น
ระดับมัธยมศึกษา  สามารถแก้ไขคำถูกผิดให้กับนักเรียนได้เลย  เพราะตัวตนด้านใน (การเห็นคุณค่าในตนเอง) ได้ขึ้นรูปที่มั่นคงแล้ว การชี้ในส่วนที่ผิดในเด็กโตจึงไม่ได้เป็นการทำลายคุณค่า

“ภาษาจะเป็นสิ่งน่ารำคาญ ถ้ามันอธิบายความหมายที่อยู่ใต้บรรทัดไม่ได้

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ครูต้นแบบบูรณาการ……วิเชียร ไชยบัง

ครูต้นแบบบูรณาการ……วิเชียร  ไชยบัง
คมความคิด คนไทย หัวคิดสร้างสรรค์”  รายการวาระประเทศไทย State of the Nation

สภาพสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และข้อมูลที่รายรอบเราอยู่ก็มากมายจนยากแก่การจัดการ แล้วคนรุ่นใหม่ๆ ก็จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้ยากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือ "ให้การเรียนรู้"
เราสามารถสร้างความรู้และการใฝ่รู้ให้กับเด็กได้โดยที่พื้นฐานของเด็กนั้นอาจ ไม่เท่ากัน กระบวนการจัดการเรียนการสอนและการฝังรากลึกให้กับเด็กตั้งแต่ยังเด็กจะ สามารถทำให้องค์ความรู้นั้นติดตัวและเพิ่มดีกรีความฉลาดให้กับเด็กไปจนโต
 
การเรียนรู้ต้องเกิดจากภายในของแต่ละบุคคลและผู้คนรอบข้างที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้ชุดหนึ่งที่ใช้ได้สำหรับโลกที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา 

และท่ามกลางสังคมที่แปรเปลี่ยนในปัจจุบันนี้  ไม่มีบุคคลใดที่ไม่ประสบกับปัญหา  แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรามองปัญหาอย่างไร ทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามาคือหนึ่งการเรียนรู้  และถ้าหากเราไม่มีปัญหาก็เท่ากับว่าเราไม่มีอะไรทำ  เราสามารถแก้ปัญหาได้หลายทางและทางที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้เลือกและพยายามทำคือการเรียนรู้จากปัญหานั้น

"เราต้องการให้การเรียนรู้ที่จะทำให้ทุกคนได้มีโอกาสรับรู้สิ่งนั้นด้วยตนเอง  สร้างให้นักเรียนเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเองว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ"

ซึ่งความคิดในการใคร่ครวญและเรียนรู้นี้ต้องแยกออกให้เป็น 2 ทางคือความคิดภายนอกและความคิดภายใน ความคิดภายนอกคือความคิดที่มีต่อปรากฏการณ์ต่างๆ การให้เหตุผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและความรู้ข้างนอกทั่วไป ส่วนความคิดภายในคือความคิดที่รู้ตัว  ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาอยากให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน
  
ครูใหญ่วิเชียรกล่าวว่าสิ่งที่คาดหวัง คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษาทั่วประเทศไทยที่ทำให้ทุกคนให้ความสำคัญเรื่องการเรียนรู้  ทั้งผู้รับการศึกษาและผู้ให้การศึกษาโดยมุ่งสร้างสุขภาวะทั้งต่อตนเองและผู้อื่น