ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

พัฒนาการ-ครูและการสอน-การพัฒนาครู

บรรยาย-ครู Change Agent ศรีสะเกษ  
พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558

พัฒนาการของครูและการสอน
1.        ครูยุคก่อนมีระบบโรงเรียน เช่น พระ  ฤๅษี  เป็นครูที่มีอำนาจ  อยู่เหนือศิษย์ด้วยความเชื่อและศรัทธา  เน้นการสอน  ท่องจำ และ ฝึกฝน
2.        ครูในยุคเริ่มต้นของระบบโรงเรียน  ครูก็พัฒนามาเป็น ครูผู้สอน  ในยุคนี้ครูจะมีความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริงทีเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น  ครูเลยต้องการถ่ายทอดด้วยการสอน  วัดความสำเร็จของผู้เรียนจากปริมาณความรู้ที่จำได้
3.        ปัจจุบันเราพยายามพัฒนาครูให้เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ หรือ Coaching ด้วยความรู้ที่ค้นพบใหม่เกิดขึ้นอย่างมหาศาล   ครูจึงมีหน้าที่อำนวยให้มีกิจกรรมที่นักเรียนมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจมากกว่าการรู้  ความรู้สามารถทดสอบได้ด้วยการนำข้อสอบมาให้ทำ  แต่ความเข้าใจทดสอบได้ด้วยการให้แก้ปัญหาหรือโจทย์ปัญหาที่หลากหลาย   ในยุคนี้จะมีความรู้มากมายมหาศาล ซึ่งหมายความว่าความรู้ทั้งหมดไม่สามารถบรรจุอยู่ในตัวครูได้  ความรู้ที่มหาศาลจะถูกรวมไว้ที่ศูนย์กลางที่เราสามารถค้นหาหรือ search  ให้รู้ได้ทันที  ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่มีทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความ ภาพและวิดีโอ ในรูปแบบต่างๆให้ค้นหาได้อย่างหลากหลาย แม้แต่เรื่องที่ยากที่สุด เช่นแคลคูลัสที่เคยใช้เวลาเรียนมากกว่า 3 ปีจึงจะเข้าใจจริงๆ แต่ในปัจจุบันสามารถค้นหาคลิปวิดีโอและโมเดลที่สร้างความเข้าใจได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง
4.        ในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้า  อินเตอร์เน็ตจะมีความเร็วสูงยิ่งยวด  โลกจะมี Big Data ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกรูปแบบได้อย่าง ฉับพลัน และซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการเรียนรู้จะพัฒนาอย่างสมบูรณ์  โลกจะมี OS ที่สมบูรณ์ที่จะช่วยในคนแต่ละคนสร้างการเรียนรู้เฉพาะตนได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลา   ครูผู้อำนวยการเรียนรู้จะมีความจำเป็นน้อยลง  เพราะ OS ที่สมบูรณ์จะจัดการให้แทนเสมือนมีผู้จัดการประจำตัวที่มีประสิทธิภาพสูง   ครูจะจำเป็นตรงที่การให้เรียนรู้เพื่อบ่มเพาะความเป็นมนุษย์  การรับรู้ความรู้สึก หรือจิตวิญญาณ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น  การเข้าใจตนเอง  ซึ่งเป็นสิ่งที่ซอฟต์แวร์ทำไม่ได้  ครูจึงจำเป็นที่จะวิวัฒน์จากครูโค้ชเป็นครูกัลยาณมิตร (Mentor)  เป็นผู้ประคับประคอง  เป็นเพื่อน  เป็นแบบอย่างของความเป็นมนุษย์  เพื่อให้เข้าใจชีวิตและใช้ชีวิตอย่างที่มนุษย์ควรเป็นไป

พัฒนาการของการพัฒนาครู
ครูที่มีคุณภาพคือกุญแจสำคัญของการสร้างการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน   ครูที่มีคุณภาพนั้นมีองค์ประกอบและปัจจัยหลายอย่างและด้านคุณภาพชีวิตส่วนตัวก็เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่จะส่งผลต่อคุณภาพครู   แต่หากจะมองให้แคบลง โดยดูเฉพาะองค์ประกอบเกี่ยวกับหน้าที่ของความเป็นครู   ครูส่วนหนึ่งก็มักจะประสบปัญหาที่ก้าวไปไม่ถึงครูคุณภาพ Performance จากสภาพสองอย่างนี้คือ  ความไม่เข้าใจต่อเนื้อหาที่จะสอน(content) และ/หรือ ความไม่มีทักษะการสอนหรือการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน (Pedagogy)  อันจะส่งผลให้ครูรู้สึกว่าตนเองทำหน้าที่ไม่สำเร็จ ทำได้เพียงแค่เสร็จๆ ไปวันๆ  ความภาคภูมิใจ ความรู้สึกมีคุณค่าต่อวิชาชีพ หรือความปีติจึงไม่เกิดขึ้น

            กรอบคิดและวิธีการพัฒนาครูของระบบการศึกษาจากอดีตถึงปัจจุบัน
1.        ช่วงเริ่มต้นเราเคยเชื่อว่าการให้การศึกษาแก่ครูจะทำให้ครูมีคุณภาพขึ้น  ตั้งแต่สามสิบปีเป็นต้นมาแล้วที่ระบบส่งเสริมและผลักดันให้ครูเรียนเพื่อได้วุฒิที่สูงขึ้น  ฝ่ายผลิตเองก็ทำแทบไม่ทัน จนเกิดโปรโมชั่นประเภทจ่ายครบจบแน่  เมื่อสามสิบปีก่อนมีครูเพียงหยิบมือที่จบปริญญาตรี แต่ปัจจุบันครูที่จบปริญญาตรีจะกลายเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่จะจบสูงกว่าปริญญาตรี  แต่เมื่อมองด้านคุณภาพการศึกษา  คุณภาพผู้เรียนโดยรวมก็ยังต่ำกว่าระดับที่จะไปแข่งขันกับชาติอื่นได้
2.        ตั้งแต่ตั้งกระทรวงทางการศึกษาขึ้นมา ได้ให้การเรียนเรียนกับครู โดยการจัดอบรม  แทบจะเรียกได้ว่างบประมาณของกระทรวงที่เกี่ยวกับการพัฒนาครูแทบทั้งหมอใช้เพื่อจัดอบรม  ส่วนใหญ่ในการจัดอบรมก็เป็น Hotel based งบประมาณการอบรมส่วนใหญ่จึงเป็นค่าสำหรับโรงแรมและค่าเดินทาง  สิ่งที่ครูได้จากการอบรมก็จะเป็นเพียงความรู้อันน้อยนิด  แต่ไม่ได้ทักษะสำหรับการสร้างการเรียนรู้มากนัก  ครูจึงนำสู่การปฏิบัติได้น้อยมาก  แต่กระนั้นก็ยังหลับหูหลับตาทำกันเรื่อยมาจนปัจจุบัน  ซ้ำร้ายการจัดอบรมมักจะระดมทำกันช่วงจะสิ้นปีงบประมาณ(สิงหาคม-กันยายน) นั่นคือช่วงกลางภาคเรียน ที่ทำให้ครูต้องทิ้งชั้นเรียนซึ่งเสียอีก
3.        การเสริมแรงครู Reward  ระบบต้องการกระตุ้นให้ครูกระตือรือร้นในการพัฒนาการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง  แต่ระบบความดีความชอบปีละสองครั้งก็ทำให้ครูทะเลาะกันปีละสองครั้ง  เกิดการแย่งชิง บาดหมางจนไม่อาจร่วมมือกันหรือเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างแท้จริง  หรือ การเพิ่มวิทยฐานะครูก็เช่นกันไม่ได้สร้างครูที่มีคุณภาพอย่างแท้จริงขึ้นมา  วันก่อนได้รับวิทยฐานะที่สูงขึ้นกับวันหลังที่ได้รับพฤติการณ์หรือความสามารถในการจัดการเรียนรู้ไม่ได้แต่ต่างมากมายอะไรเลย  คุณภาพผู้เรียนในชั้นนั้นๆ  ก็ไม่ดีขึ้นอย่างชัดเจน  ที่เป็นอย่างนั้นเพราะระบบ Reward ไม่ใช่ระบบที่สร้างการเรียนรู้ให้ครูอย่างแท้จริง  และระบบ Reward เป็นการอาศัยเครื่องมือจากภายนอก  ครูไม่ได้เกิดแรงบันดาลใจจากภายในที่จะพัฒนาตนเองหรือพัฒนาการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
4.        การสร้างระบบให้ครูได้การเรียนรู้ร่วมกัน  หรือการสร้างชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) เป็นแนวทางใหม่ที่จะพัฒนาครูให้มีคุณภาพด้วยการสร้างพลังการเรียนรู้ร่วมกัน   
PLC  จะช่วยยกระดับความรู้ความเข้าใจของครูแต่ละคน  ทั้งมิติความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่จะสอน  และ ความรู้ความเข้าใจต่อการสอน เช่น  หลักสูตร  จิตวิทยาการสอน การออกแบบกิจกรรม  การวัดและประเมินผล  เป็นต้น
PLC  ช่วยยกระดับทักษะของครูแต่ละคน  เช่น ทักษะการออกแบบการเรียนรู้  ทักษะการสื่อสาร  ทักษะICT ทักษะการวัดและประเมินผล ตลอดจนทักษะชีวิต เช่น  ทักษะการจัดการความขัดแย้ง   ทักษะการจัดการอารมณ์  ทักษะการอยู่ร่วมกัน เป็นต้น
PLC  ช่วยให้ครูแต่ละคนค้นพบความหมายของชีวิต  ความหมายของการเป็นครู  รู้สึกถึงคุณค่าของงานครู  เห็นเป้าหมายที่สำคัญร่วมกัน เป็นบุคคลและองค์กรการเรียนรู้  ทำงานเป็นทีม  มีความเป็นกัลยาณมิตร นั่นคือถึงความมีอุดมการณ์นั่นเอง

             กระบวนการ PLC
1.       การเตรียมองค์กร 
เตรียมสภาพแวดล้อมให้สะอาด  ร่มรื่น  ปลอดภัย  และ สัปปายะ
2.       ก่อรูปวัฒนธรรมองค์กรใหม่  
            การร่วมกันกำหนดเป้าหมายองค์กรและข้อตกลงเบื้องต้น  การออกแบบกิจกรรมเพื่อลดลำดับชั้นให้น้อยลงเป็นองค์กรระดับราบมากขึ้น  และสร้างกลไกให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่เสมอ ทั้งเป็นกลไกที่ดึงดูดผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาอยู่ในกระบวนการด้วย  เช่น การกำหนดช่วงเวลา สถานที่  หัวข้อ  ผู้เข้าร่วม และผู้นำวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแต่ละครั้ง  ซึ่งผู้นำหรือผู้บริหารเป็นองค์ประกอบสำคัญมากในขั้นตอนนี้
3.       กิจกรรม PLC  เช่น
-            Dialogue หรือ กระบวนการสุนทรียสนทนาเพื่อเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้กันและกัน  ด้วยการคุยกันในระดับราบ เน้นการฟังอย่างรู้เท่าทันจิตใจของตนเอง เพื่อการขจัดการตัดสินที่เกิดขึ้นขณะฟัง  การฟังนั้นก็จะเต็มไปด้วยความกรุณาต่อกันทุกคนจะมีโอกาสรับเนื้อความได้อย่างครบถ้วนทั้งมิติและเนื้อหา  ตัวอย่างหัวข้อคำถามเพื่อDialogue เช่น ห้าปีที่แล้วเราเห็นองค์กรเราเป็นอย่างไร  อีกห้าปีข้างหน้าเราอยากเห็นองค์กรเราเป็นอย่างไร  อะไรที่หล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนแบบนี้  เราอยู่ตรงไหนของจักรวาล  เราเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างไร  เป็นต้น 
-            S&L (Share & Learn) แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ความสำเร็จหรือความล้มเหลวจากหน้างานของกันและกัน  เน้นอภิปรายร่วมกันอย่างสร้างสรรค์โดยมีเจตจำนงที่ดีต่อการทำให้งานพัฒนาขึ้นหรือเด็กๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น  อาจทำเป็นคู่  เป็นกลุ่มย่อย และ เป็นกลุ่มใหญ่ทั้งองค์กร  ตัวอย่างหัวข้อคำถามเพื่อS&L เช่น  อะไรคือปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการพัฒนา ทำอะไรบ้าง  ทำอย่างไร  ผลเป็นอย่างไร อะไรที่ยืนยันว่าเราได้พบผลเช่นนั้น  เราสามารถทำอะไรต่อได้บ้าง เป็นต้น
-            AAR (After Action Review) เป็นการร่วมกันอภิปรายสรุปในแต่ละแง่มุมหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมเพื่อทำให้เกิดการใคร่ครวญหรือการทบทวนต่อเรื่องนั้นๆ   ตัวอย่างหัวข้อคำถามเพื่อ AAR เช่น เห็นอะไร รู้สึกหรือคิดอย่างไร  อะไรที่เราได้เรียนรู้  เป็นต้น
-            Lesson Study เป็นกระบวนการร่วมกันพัฒนากิจกรรมการสร้างการเรียนรู้ของกลุ่มครู  ตัวอย่างหัวข้อคำถามเพื่อ Lesson Study  เช่น ทำอย่างไรที่จะให้องค์กร(โรงเรียน)พัฒนาปัญญาภายในให้กับผู้เรียน  กิจกรรมฝึกฝนการรู้ตัวมีอะไรบ้าง ทำอย่างไรบ้างกับเด็กแต่ละวัย   การฝึกให้เด็กได้ใคร่ครวญควรมีกิจกรรมใดบ้าง   การฝึกฝน Dialogue มีกระบวนการอย่างไร  เป็นต้น

 Lesson studyจะทำให้ครูได้เรียนรู้การเรียนการสอนเพื่อค้นหาวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดีกว่า   ซึ่งวิธีนี้ต้องเกิดขึ้นที่โรงเรียนผ่านกระบวนการวางแผนร่วมกัน  ซึ่งมีกระบวนการดังนี้
1. ค้นหาประเด็นปัญหาที่เป็นอุปสรรคหรือเนื้อหาที่ผู้เรียนเข้าใจยาก  ครูร่วมกันระดมความคิดเพื่อแยกอะไรคือสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง และอะไรคืออาการที่แสดงออก  ให้ชัดเจน  ครูทุกคนต้องร่วมกันคิด ร่วมกันแลกเปลี่ยน ปัญหาของแต่ละคน ซึ่งปัญหานั้นอาจมาจากทั้งนักเรียนหรือคุณครู และ เป็นไปได้ทั้งในนักเรียนกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่หรือทั้งชั้นเรียน  ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาที่ครูต้องการพัฒนา  ตัวอย่างปัญหาในการสอนคณิตศาสตร์ ตัวอย่างหัวข้อที่ทำ Lesson study  เช่น การหา ครน.หรม. ของเศษส่วนในระดับชั้นป.6   การแก้โจทย์ปัญหาโดยการวาดภาพในชั้นป. การแก้โจทย์ปัญหาร้อยละในชั้น ป.5  เส้นขนานกับ Perspective ในชั้นมัธยม  ซึ่งสุดท้ายแล้วเราต้องการให้เข้าใจเนื้อหานั้น และรู้วิธีที่จะสร้างการเรียนรู้สำหรับเนื้อนั้น
2. ครุร่วมกันวางแผน ออกแบบวิธีการ หรือนวัตกรรม ในกระบวนการนี้จะเป็นการ BAR และ Share and Learn 
3. ตัวแทนคุณครูอาสาที่จะสอนและให้เพื่อนครูเป็นผู้ร่วมสังเกตกระบวนการและผลที่เกิดกับผู้เรียน  หรือ ถ้าเป็นปัญหาเดียวกันของหลายชั้นเรียน  ครูหลายคนสามารถนำวิธีการหรือนวัตกรรมไปใช้กับนักเรียนชั้นของตนเองแบบคู่ขนาน เพื่อจะให้ได้แง่มุมความสำเร็จหรือไม่สำเร็จเพื่อมาแลกเปลี่ยนกันในขั้นต่อไป

4. Reflection เพื่อสะท้อนอย่างเป็นกัลยาณมิตร  ในการสะท้อนเราจะให้ความสำคัญที่ผลที่เกิดกับผู้เรียน  ระยะเวลาที่ใช้   ไม่มุ่งเน้นไปที่ตัวครู   มุ่งเพื่อพัฒนากระบวนการวิธีการในการจัดกิจกรรมให้ดีขึ้นอีก  ขั้นนี้จะทำครูทั้งกลุ่มจะมีความเข้าใจในเนื้อหานั้นและเข้าใจวิธีการการจัดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นอีก


วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

จิตศึกษา พัฒนาปัญญาภายใน


“จิตศึกษา เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นในโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ตั้งแต่ปีการศึกษา 2546 เพื่อให้เป็นทั้งแนวคิดและกระบวนการในการพัฒนาผู้นักเรียนและยกระดับความเป็นครู เพื่อการเรียนรู้และงอกงามด้านด้านใน ทั้งความฉลาดทางด้านอารมณ์และความฉลาดด้านจิตวิญญาณ
เริ่มต้นในปีแรกๆ นั้น กระบวนการจิตศึกษาในโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมเด็กให้สงบ ให้ผ่อนคลาย ให้อยู่ในภาวะคลื่นสมองต่ำ และให้กลับมารู้เนื้อรู้ตัวก่อนการเรียนทุกวัน ผลจากการดำเนินกระบวนการและกิจกรรมของจิตศึกษาได้แล้วหนึ่งปี เราก็พบว่าเด็กทุกคนสงบได้ง่ายขึ้น จิตใจที่สงบก็จะนำมาซึ่งการรับฟังกันได้อย่างลึกซึ้ง เกิดการใคร่ครวญได้บ่อยขึ้น รับรู้ความรู้สึกของตนองและผู้อื่นได้ว่องไว สามารถรับรู้และเชื่อมโยงตนเองกับคนอื่นหรือสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้นจนเห็นคุณค่าของสรรพสิ่ง ความสงบและการใคร่ครวญยังสร้างการน้อมนำสิ่งที่ดีงามเข้าไปสู่จิตใต้สำนึก หลังจากนั้น จึงได้พัฒนากระบวนทัศน์ องค์ประกอบ กระบวนการและกิจกรรมขึ้นมาเป็นลำดับ จนในที่สุดเราก็พัฒนาเป็น “จิตศึกษา” ในปี พ.ศ. 2548
ปัจจุบันได้พบว่าเมื่อครูใช้กระบวนการ จิตศึกษาเพื่อขัดเกลาเด็กในขณะเดียวกันนั้นครูก็ได้ขัดเกลาตนเองไปด้วย “จิตศึกษา” จึงกลายเป็นส่วนสำคัญของโรงเรียนในการพัฒนาครู เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของครูให้มี “หัวใจของความเป็นครู” อย่างแท้จริง ส่วนในตัวเด็ก กระบวนการจิตศึกษา ได้ยกระดับความฉลาดด้านจิตวิญญาณ และความฉลาดด้านอารมณ์จนมีโอกาสที่จะไปถึงปัญญาภายในในที่สุด


การเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ร่วมกัน

พัฒนา งอกงาม | อย่างเป็นองค์รวม.. 
ผมคิดว่าเป้าหมายสูงสุดในการดำเนินชีวิตก็คือ อยากให้ทุกคนดำเนินชีวิตไปอย่างมีความสุข
 คือมีจิตอิสระมากพอ มีความสามารถในการชี้นำตนเอง และเราก็มีเครื่องมือใหญ่ที่สำคัญของสังคมที่จะสร้างคนอย่างนั่น นั่นก็คือ..การศึกษา  แต่ความเข้าใจผิด ทำให้เครื่องใหญ่ชุดนี้ไปอยู่ในองค์กรซึ่งก็คือโรงเรียน  แท้จริงแล้วในเครื่องมือใหญ่ที่พูดถึงเรื่องการศึกษา หัวใจของมันก็คือ การสร้างการเรียนรู้
...ผมเชื่อว่าการสร้างการเรียนรู้ที่แท้จริงจะทำให้คนถูกยกระดับขึ้น พัฒนาขึ้นในทุกๆ ด้านอย่างองค์รวม
..คนที่พัฒนาขึ้นรอบด้านอย่างเป็นองค์รวมจะเข้าใจความหมายของการการมีชีวิตและดำเนินชีวิตที่แท้จริงว่าคืออะไร?หรือจะต้องทำอย่างไร? การดำเนินชีวิตก็จะเป็นไปอย่างลื่นไหล  ภาวะลื่นไหลคือความปกติสุขนั่นเอง
แต่..โจทย์ที่จะสร้างการเรียนรู้ที่ดีในสถานศึกษานั้นมีหลายองค์ประกอบ  องค์ประกอบหนึ่งคือเราต้องพูดถึงบรรยากาศ  คำว่าบรรยากาศ ไม่ใช่แค่สภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย สัปปายะ เท่านั้น แต่องค์ประกอบสำคัญของบรรยากาศที่มีผลต่อการเรียนรู้คือความเป็นกัลยาณมิตร สัมพันธภาพที่ดีจะสร้างการร่วมมือกันของคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งครู ผู้ปกครอง และสังคม ในการสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน เพราะการเรียนรู้ที่สมบูรณืจำเป็นต้องเกิดขึ้นในสองขั้นตอนใหญ่คือการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ร่วมกัน
 องค์กรจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศการเรียนรู้และการทำงานร่วมกันขึ้นมาให้เป็นแบบอย่างกับเด็กๆ และผู้คนที่รายล้อมอยู่ เพื่อให้เด็กและทุกคนได้งอกงามขึ้นทุกๆ ด้านอย่างเป็นองค์รวม  ความเป็นกัลยาณมิตรความสนิทสนมจะเสริมสร้างพลังอำนาจในกลุ่มคนขึ้นมาเพื่อช่วยให้การเรียนรู้ร่วมกันนั้นเข้มข้นขึ้น  การเรียนรู้ที่มีความหมายขึ้น เป็นการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องระหว่างที่อยู่ในโรงเรียนกับการใช้ชีวิต  แล้วตอนนั้นเราก็จะเห็น..คนที่ทำงานทั้งครู ทั้งผู้ปกครอง ทั้งสังคม รวมทั้งเด็กๆ ได้เรียนรู้ไปอย่างมีความสุข..ในขณะเดียวกัน
แล้วในที่สุดแล้วเขาจะค้นพบความหมายของคำถามใหญ่ๆ ในชีวิต


  สร้างเครือข่าย | ชุมชนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน.. 
เน้นย่ำมากๆ เรื่องของบรรยากาศก็คือ เรื่องของสัมพันธภาพของคนที่เกี่ยวข้อง
เพราะสิ่งนี้จะเป็นเครื่องมือใหญ่ที่จะเป็นพื้นที่ให้เมล็ดพันธุ์ในตัวเด็กได้งอกงามได้จริงๆ
การที่พยายามแยกส่วนระหว่างการสอนออกจาก..บรรยากาศของสัมพันธภาพในองค์กร บรรยากาศของสังคม บรรยากาศของปัญหาสังคม ก็เหมือนการศึกษาทีแห้งแล้ง แล้วก็ไม่มีความหมาย
ถ้าสร้างความร่วมมือต่อกันจริงๆได้ก็จะมีพลังอำนาจอย่างแท้จริง  เพราะสิ่งที่ขาดแหว่งตลอกมาของการจัดการศึกษาก็คือการที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกันอย่างแท้จริง
ไม่ใช่แค่การศึกษานะ..ปัญหาทางด้านการเมือง ทางสังคมก็เหมือนกัน
ส่วนใหญ่ก็จะเกิดจากที่..การไม่ได้มีส่วนร่วมกันอย่างแท้จริง
การเสริมสร้างพลังอำนาจของคนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สร้างการมีส่วนร่วมต่อกัน มันก็มีกระบวนการที่เราพยายามให้โรงเรียนต่างๆได้ หันกลับมาเริ่มทำกระบวนการพัฒนาองค์กรแบบใหม่ ก็คือ เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ร่วมกันที่เน้นกระบวนการคิดกระบวนการทัศน์ใหม่ ด้วยการสร้างชุดความรู้ขึ้นมาร่วมกัน
มีกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน สร้างองค์ความรู้จากการปฏิบัติ

  เรียนรู้จากการปฏิบัติ | การทำงานร่วมกัน.. 
ตัวกระบวนทัศน์ใหม่นี้..เน้นการสร้างสัมพันธภาพที่ทำให้คนที่เกี่ยวข้องกันเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆที่ เกิดขึ้นรอบตัวในการสร้างบริบทในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
แล้ว..กระบวนการ PLC ที่เราเรียกสั้นๆ ในโรงเรียนนี้ก็จะเป็นกระบวนการหนึ่งที่ให้ครูได้เรียนรู้ไปด้วยกันและเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กๆ  เพื่อจะสร้างองค์กร และเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการจัดการศึกษา ในการสร้างการเรียนรู้อย่างแท้จริง
  ร่วมกัน | สร้างการเรียนรู้อย่างแท้จริง.. 
เท่าที่เรา..ออกไปเยี่ยมโรงเรียนต่างๆที่ ร่วมทำโครงการกันอยู่มาปีกว่าๆ นี้นะครับ
เราก็เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนกับทุกโรงเรียน
โดยเฉพาะที่เราเห็นชัดเจนที่สุดก็คือ กระบวนการทำงานร่วมกัน กระบวนการเปลี่ยนแปลงองค์กร ให้เป็นองค์กรที่มองเห็นสัมพันธภาพ มองเห็นความเป็นกัลยาณมิตรในการที่จะเอื้อให้เด็กได้เติบโตงอกงาม เรียนรู้เต็มศักยภาพ
_ก็เห็นได้ชัดว่า..กระบวนการเรียนรู้ของครู ก็ทำให้ครูนั้นยกระดับความเข้าใจต่อกัน สร้างองค์กรต่อการจัดการเรียนรู้ต่อการจัดการศึกษามากขึ้น เท่านี้เห็นแล้วก็ชื่นใจ  แล้ว..กระบวนการที่มันเหมือนจะจุดติดไฟไปแล้วนี้ ก็จะหมุนขับเคลื่อนให้องค์กรแต่ละองค์กรนั้นวิวัฒน์มากขึ้น แล้วก็ขยายผลได้มากขึ้น
  องค์กรรูปแบบใหม่ | วิวัฒน์ | ขยายผล.. 
การจัดการศึกษา เราก็จะเห็นว่าสังคมมีความพยายามที่จะปฏิรูปการศึกษาหลายครั้ง
แต่..ก็ดูเหมือนว่าทุกครั้งก็กลับมาที่เดิมทุกที เพราะเวลาเราเกิดปัญหาอะไร ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยPattern (รูปแบบ) หรือกรอบคิดเดิม สุดท้ายมันก็กลับมาที่เดิม
_เราต้องแก้ปัญหาเดิมด้วย..การสร้างนวัตกรรมใหม่ เพื่อจะค้นพบหนทางใหม่ๆ ในการแก้ปัญหา
แล้วก็ต้องคิดอยู่คนละฐานคิดกับปัญหา
เราคงจะเห็นแล้วว่าโครงการที่เราทำไปกับโรงเรียนภาครัฐหลายโครงการ..ได้สร้างสัมมาทิฐิให้ครู ได้เห็นความพยายามของครูที่จะพัฒนานวัตกรรมบนกรอบความคิดใหม่ บนฐานความคิดใหม่ บนความเข้าใจต่อเด็กแบบใหม่ แล้วครูเหล่านั้นก็ค้นพบวิธีใหม่ๆ  บางทีแม้จะเป็นเพียงประกายเล็กๆ แต่เราก็พบว่านั้นคือ หนทางที่จะสร้างโอกาส ในการที่จะแก้ปัญหาแบบใหม่..ให้ยั่งยืนมากขึ้น

วิเชียร ไชยบัง
ครูใหญ่โรงเรียนนอกกะลา
ถอดความ โดย ครูป้อม