ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โรงเรียนที่ไม่มีการสอบ

ทำไมต้องสอบ?

การศึกษารูปแบบปัจจุบันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ก่อนหน้านั้นกว่า 10,000 ปี เป็นยุคของเกษตรกรรมที่ผู้คนหลุดออกจากยุคเร่ร่อนแล้วก็เริ่มเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ลูก ๆ ในครอบครัวสามารถอยู่และเรียนรู้ร่วมกันพ่อแม่ได้ตลอดเวลา พ่อแม่เป็นผู้สอนทักษะชีวิต ความรู้พื้นฐานที่จำเป็น ใช้ชีวิตในวิถีทางร่วมกันได้
แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ มีโรงงานเกิดขึ้นมากมาย เป็นโรงงานที่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเดียวกันได้คราวละมาก ๆ เป็นโรงงานที่ตอบสนองต่อการผลิตสินค้าเพื่ออำนวยความสะดวกความสบายให้กับมนุษย์ จนถึงตอบสนองการบำรุงกิเลส ซึ่งมากกว่าพื้นฐานความจำเป็นที่มนุษย์โดยทั่วไปควรจะได้ ระบบนั้นได้ผลักคนส่วนใหญ่เข้าสู่โรงงาน และโรงงาน ส่วนเด็ก ๆ ถูกผลักไปสู่โรงเรียนในที่เป็นระบบเดียวกัน และโรงเรียนในระบบก็สอนให้เด็กเหล่านั้นเพื่อเข้าไปสู่โรงงาน สอนให้คนรู้ในสิ่งที่คนอื่นรู้ไว้แล้ว
กรอบความคิดอุตสาหกรรม (นักเรียนเสมือนวัตถุดิบของโรงงาน)
# ถูกคัดเลือกด้วยเกณฑ์เดียวกัน
# มีหลักสูตร หรือ สอนเหมือน ๆ กัน ความจริง หรือ สิ่งถูก ถูกกำหนดไว้ก่อนแล้ว
# เพื่อ.ให้จบออกมามีคุณภาพเหมือนกัน ในปริมาณมากๆ
โรงเรียนกำหนดมาตรฐาน และผลสำเร็จแบบเดียวกันเหมือนกับผลผลิตของโรงงานที่ต้องการผลผลิตเดียวกันจำนวนมาก ๆ และสิ่งที่จะมาวัดได้อย่างรวดเร็วก็คงจะเป็นแบบทดสอบ เพราะมันเป็นปรนัย คือ เห็นค่าเป็นคะแนนที่ชัดเจน กรอบความคิดเหล่านี้เป็นโครงสร้างที่แข็งแกร่งในสังคมต่อมายาวนานกว่า 300 ปี
ผ่านจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมาเป็นยุคดิจิตอล ยุคข้อมูลข่าวสารระบบการศึกษาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ข้อมูลที่มากขึ้น ๆ กลับสร้างปัญหา เพราะกรอบความคิดเดิมยังบอกให้เชื่อว่าผู้ที่มีข้อมูลมากกว่า ผู้ที่รู้มากกว่าคือผู้ชนะ เริ่มใช้การไม่ได้
ทุกโรงเรียน จึงยังคงสอบ มีเกณฑ์เดียวกัน ต้องการผลผลิตเดียวกัน ต้องการให้คนรู้ในเรื่องเดียวกันในความรู้ที่มีคนรู้อยู่แล้ว ใครที่รู้ได้เหมือน หรือรู้เท่าก็ชนะ
วิธีการแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เกิดสิ่งสร้างสรรค์ขึ้นมา การแข่งขันต้องลดลงและหายไป แต่ความร่วมมือต้องเกิดขึ้นและมากขึ้น
โรงเรียนนอกกะลา เราปฏิเสธการสร้างคนเพื่อการแข่งขัน แต่เราต้องการคนที่รู้จักการสร้างความร่วมมือ เพราะฉะนั้น หากพูดถึงการสอบเราจึงไม่ใช้เลย แต่เรามีระบบการวัดผลและการประเมินผลเพื่อให้รู้ว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าเพียงใด
เมื่อพูดถึงการวัดผลและประเมินผล กับการสอบมันเป็นคนละอย่างกัน ลองจินตนาการถึงตัวช้าง ในความเชื่อของคนงาช้างนั้นมีค่าที่สุด ถ้าช้างทั้งตัวคือการวัดผลประเมินผล การสอบนั้นเปรียบได้ดังขนช้าง ไม่ใช่ว่าจะไม่มีค่าเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญ
การวัดผล และประเมินผล ของโรงเรียนนอกกะลา เรามีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อพัฒนาพัฒนาผู้เรียน ไม่ได้เพื่อตัดสิน เราจะใช้แนวทางในการวัดผล ประเมินผลตามสภาพจริง ที่เกิดขึ้นทุกขณะอย่างต่อเนื่อง (Authentic Assessment) โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การสังเกต สัมภาษณ์พูดคุย ดูจากชิ้นงาน กระบวนการทำงาน การปฏิบัติในวิถีชีวิตจริง แฟ้มงาน และการสะท้อนงาน วิธีการประเมินเหล่านี้กลับพบข้อมูลที่ละเอียดลึกซึ้งที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้เรียนมากกว่าการสอบ การสอบกลับเป็นอะไรที่หยาบ ๆ และทั้งยังไม่คำนึงถึงความแตกต่างและศักยภาพของแต่ละคน การสอบไม่ได้เคารพความเป็นตัวตนของแต่ละคน การสอบเป็นเพียงการอ้างอิงข้อมูล ข้อเท็จจริงหรือความรู้ที่เก่าที่ผู้เรียนรู้
ที่นี่จึงไม่มีการสอบ ความรู้ที่เป็นปัจเจก กลับมีความสำคัญในระบบนิเวศน์ทางสังคม มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของสังคม เพราะความหลากหลายไม่ใช่ความรู้ที่เป็นชุดสำเร็จเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ป็นความรู้ที่เชื่อมโยงแล้วมีปลายทุกด้านเป็นปลายเปิด
วิธีการประเมินตามสภาพจริง ทุกขณะอย่างต่อเนื่อง (Authentic Assessment) อย่างแท้จริงจึงเป็นการส่งเสริมให้เกิดองค์ความรู้เชิงปัจเจก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศน์ทางสังคมอย่างแท้จริง
หลายคนถามเราว่า แล้วโรงเรียนเราสอบ NT หรือ O-Net , A-Net หรือเปล่า?
เรายังคงต้องสอบ เพราะเป็นระเบียบของทางราชการ ในฐานะรัฐยังจำเป็นต้องรู้โดยภาพรวมว่าคุณภาพการศึกษาเป็นเช่นใด และวิธิสอบก็เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดกับนักเรียนจำนวนมากๆ แม้ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แต่ก็เป็นตัวเลขที่พอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมองเห็นภาพรวมได้บ้างเท่านั้น
ประเด็นสำคัญการประเมินตามสภาพจริง อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการสอบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับครู การประเมินแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้เรียน ทั้งในวันนี้ พรุ่งนี้ หรือสัปดาห์นี้ แล้วยังต้องคิดต่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะเชื่อมโยงกับมาตรฐานของกลุ่มสาระแต่ละกลุ่มอย่างไร หรือ ตรงไหน และครูต้องออกแบบไว้ก่อนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าจะเป็นภาระงาน ชิ้นงาน วิธีการ หรืออื่น ๆ นั้นจะเชื่อมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระได้อย่างไร จะมีเกณฑ์ Rubric เข้าไปจับได้อย่างไร จับแล้วก็ตีค่าออกมาเพื่อให้ระดับอย่างไร ทั้งนี้เรามุ่งเน้นเพื่อให้เกิดการพัฒนา แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่ลืมว่าจะต้องให้เด็กที่เรียนอยู่เทียบโอนได้ เพราะฉะนั้นพอสิ้นปีครูก็ต้องนำคะแนนของแต่ละวิชาหรือแต่กลุ่มสาระ แต่ละมาตรฐานจะมีอยู่แล้ว มาตัดเกรด ให้ผู้เรียนึ้นนั้นยังต้องางเท่านั้น คุณภาพการศึกษาเป็นเช่นใด และวิธิสอบก็เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดกับนักเรียนจำนวนมากๆ เพื่อให้สามารถเทียบโอนกับโรงเรียนอื่นๆ ได้

** ผมเคยให้ผู้เข้าอบรมหลายๆ คนยกขวดน้ำแล้วผมถามว่า “คิดว่าขวดน้ำ หนักหรือเบา” ทุกคนกลับตอบคำถามและให้เหตุผลประกอบไม่เหมือนกัน
โปรดระวังเสมอเพราะการประเมินมัก error ทั้งเครื่องมือ และ ตัวผู้วัด

5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ใช่การสอบไม่ดี แต่ผู้วัดและประเมินควรที่จะรู้ว่าเราจะประเมินอะไร และควรใช้เครื่องมืออะไรจึงจะเหมาะ เช่น ประเมินทักษะทางด้านร่างกาย ด้านกีฬา ถ้าเราจะเอาข้อสอบมาวัดเด็กว่าสามารถใช้ทุกส่วนของร่างกายได้อย่างแคร่องแคร่ว หรือเต็มศักยภาพที่เขามีหรือไม่ มันก็อาจจะไม่เหมาะ ดังนั้นข้อสอบก็มาสารถวัดเด็กได้บางด้าน บางอย่าง แต่ต้องดูด้วยว่าข้อสอบนั้นได้มาตรฐานหรือเปล่า กรุณาอย่ายัดเยียดความล้มเหลวให้กับเด็กโดยการใช้ข้อสอบเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้นเอง

    ตอบลบ
  2. ่้ื่สมัยผมเป็นเด็กผมไม่เข้าใจเลยทำไมวิชาพละศึกษา และ วิชาการงาน ผมไม่ได้เกรดดีๆ เพียงแค่ผมกาไม่ถูกช้อยที่ครูเฉลยว่าถูกเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วผมเล่นกีฬาเก่ง มีเทคนิคเฉพาะตัวด้วย การงานก้เช่นเดียวกันผมเป็นลูกชาวนาประสบการณ์การใช้ชีวิต เพียบ และทำจริงได้ด้วย ....แต่ผมกากบาทไม่เก่งแค่นั้นเอง หากย้อนกลับได้อยากให้ครูลองใช้วิธีประเมินตามสภาพจริง ไม่แน่นะผมอาจจะได้เกรด 4 ทุกตัวก้ได้ครับ

    ตอบลบ
  3. เคยมีคนกล่าวไว้ว่า เมื่อเราจดจ่อกับอะไรเราจะส่งคลื่นนั้นออกไปยังบุคคลที่เราเกี่ยวข้องด้วย เป็นไปได้ไหมการที่พ่อแม่พร่ำบอกลูกหลานเสมอว่า "ตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง สอบได้คะแนนดีดี เกรดดีดี ได้เป็นเเจ้าคนนายคน" เมื่อพ่อแม่ร่วมกันส่งคลื่นนี้ออกไปจึงทำให้เกิดการสอบเพื่อแข่งขันตัดสินว่าใครเรียนเก่ง ใครสอบได้คะแนนเยอะ ใครได้เกรดดี ใครได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่มีพ่อแม่สักกี่คนที่ก่อนลูกออกจากบ้านไปโรงเรียน แล้วบอกลูกว่า "เป็นคนดีนะลูก มีน้ำใจกับทุกคน รักทุกคน เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ดูแลรักษาโลก" ถ้าพ่อแม่ทุกคนช่วยกันส่งคลื่นไปใหม่ไม่อน่โลกเราอาจจะไม่วุ่นวายเหมือนอย่างท่เป็นก็ได้ ไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาตัดสินเราเพียงเพราะดูจากข้อสอบเพียงไม่กี่ข้อ เพราะเวลาพ่อแม่จะดูง่าลูกพูดได้หรือยัง เดินได้หรือยัง กินข้าวเองได้หรือยัง พ่อแม่ไม่เห็นว่าจะต้องเอาข้อสอบมาวัดลูกเลย ดังนั้น ครูอาจจะต้องไปเรียนรู้การประเมินพัฒนาการเด็กจากผู้ปกครองก็ได้ เพราะวิธีที่เขาใจเหมาะกับการที่จะประเมินผู้ที่ได้ชื่อว่า "มนุษย์"

    ตอบลบ
  4. การสอบยังเป็นเรื่องสากล มันยังคงเครื่องมือที่เป็นปรนัย มีตัวเลขสถิติชัดเจน การขอทุนเรียนต่อเมืองนอกก็ยังต้องสอบ แข่งขัน การสมัครเข้าทำงานก็ยังต้องสอบภาค ก. ภาคข. การศึกษาเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาก็ต้องสอบ ถ้าเด็กไม่มีประสบการณ์ในเรื่องของการแข่งขันบ้าง อนาคตเขามีภูมิคุ้มกันเกี่ยวกับเรื่องการแข่งขันหรือเปล่า ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับการวัดและประเมินผลของโรงเรียน ชอบและชื่นชม แต่ยังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการสอบวัด หรือตัวเองยังไกลปืนเที่ยงอยู่

    ตอบลบ
  5. พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีความรู้ มีความสามารถ มีงานทำที่ดี มีฐานะทางสังคมที่ดี ฯลฯ แต่สำหรับผมอยากให้ลูก ๑.รักตัวเอง คือ เห้นคุณค่าของตนเองและพัฒนาตนเองจนสามารถรู้เท่าทันความเป็นจริง ที่สำคัญใช้ความเป็นจริงเหล่านั้นได้อย่างพอดี ๒.รักผู้อื่น คือเคารพในสิ่งที่ผู้อื่นคิด ทำ และเป็น ไม่เบียดเบียนผู้อื่นพร้อมทั้งไม่ยอมให้ผู้อื่นเบียดเบียนตนและฅนรอบข้าง ๓.รักการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข คือ เดินไปด้วยกันแสวงหาความสุขร่วมกัน ไม่มีใครทุกข์โดยขาดคนดูแล เพราะที่สุดแล้วเมื่อหมดกำหนดชีวิต ทุกคนจะเอาอะไรไปไม่ได้เลย ขอให้ทุกตนมีความสุข เสมอ แม้ในเวลาที่ทุกข์กำลังจะเกิด ขอให้ลูกของท่านมีความสุขในความเป็นจริงที่เขาเรียนรู้เถิด เพราะเขายังต้องเรียนรู้และใช้มันตลอดชีวิต...เมื่อเขาเลือกผมเชื่อว่าเขาจะเลือกความสุข เราเพียงแต่บอกกล่าวสิ่งที่เราเรียนรู้มาก่อนให้เขาทราบก็เพียงพอ ต่อการเป็นพ่อ แม่ และผู้ใหญ่ใจดี...กฤษฎีกา

    ตอบลบ