ความฉลาดภายนอกต่อจากสัปดาห์ก่อนอีกอย่างคือ ความฉลาดทางด้านสติปัญญา (Intellectuals Quotient)
ความฉลาดด้านนี้เป็นการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจต่อโลกและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งประกอบด้วยความรู้มากมายหลายแขนงที่จะใช้ในการดำเนินชีวิตหรือการประกอบอาชีพ ความฉลาดด้านสติปัญญามักมองในมุมของความรู้ว่ามีมากน้อยเพียงใด แต่การมุมมองเฉพาะด้านความรู้อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ความรู้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ ขยายขอบเขตได้ ความฉลาดทางด้านนี้ต้องไปไกลกว่าความรู้คือไปถึงความเข้าใจ เพราะเมื่อไปถึงความเข้าใจแล้วเราก็จะเห็นถึงความเชื่อมโยงของสิ่งต่างที่โยงใยกันอยู่ โดยที่เมื่อกระทำกับสิ่งหนึ่งก็สะเทือนถึงอีกสิ่งหนึ่ง แล้วตอนนั้นเราจะมองเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ในที่สุดก็จะเกิดความยินดีและความพอใจกับความเป็นไปซึ่งจะทำให้เป็นผู้ที่มีความสุขได้ง่าย นอกจากความเข้าใจต่อโลกและปรากฏการณ์แล้วความฉลาดด้านสติปัญญายังรวมถึงการได้เครื่องมือทั้งที่เป็นทักษะชีวิตและทักษะสำหรับอนาคต เช่นทักษะการเรียนรู้ ทักษะการคิดหลายๆ ระดับ ทักษะทางICT ทักษะการจัดการ ทักษะการสื่อสาร และ ทักษะการเป็นผู้ผลิตปัจจัยในการดำรงชีวิต เป็นต้น
บทบาทของโรงเรียนต่อการสร้างความฉลาดด้านสติปัญญา
การออกแบบหลักสูตรและการสอนจะต้องเป็นไปเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้มากกว่าแค่การรับรู้ ออกแบบหน่วนการเรียนรู้อย่างบูรณาการ ทั้งบูรณาการสหวิชา(เชื่อมกลุ่มสาระ) และ บูรณาการในกลุ่มสาระจะช่วยให้กระบวนการเรียนรู้เข้มแข็ง ถ้าถามว่า “ทำไมต้องบูรณาการ ?” เหตุผลสำคัญคือเมื่อเราแยกส่วนของสิ่งต่างๆ เราจะพบว่าสิ่งนั้นพร่องไป ขาดความสมบูรณ์ แม้แต่ร่างกายเราก็เช่นกัน เช่นเมื่อเราไปตรวจวัดสายตาเราจะพบว่าตาแต่ละข้างสั้นยาวไม่เท่ากัน แต่พอประกอบกันทั้งสองข้างก็ทำให้การเห็นสมบูรณ์ขึ้น หรือถ้าเราวิ่งขาเดียวเฉพาะข้างที่ถนัดก็จะพบว่าเราวิ่งได้ช้ามากเมื่อเทียบกับการวิ่งสองขาที่รวมเอาข้างที่ไม่ถนัดเข้าไปด้วย ในป่าที่มีความหลากหลายของพันธุ์พืชจะพบว่ามีความหลากหลายของพันธุ์สัตว์อยู่ด้วย ดิน น้ำ อากาศ บริเวณนั้นก็สมบูรณ์ไปด้วย ซึ่งจะต่างอย่างชัดเจนกับแปลงปลูกยูคาลิปตัส หรือแปลงปลูกพืชเชิงเดี่ยวอื่นๆ วิชาความรู้ก็เช่นกันเราไม่สามารถใช้อย่างโดดๆ ได้ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องหนึ่งจำเป็นจะต้องใช้ศาสตร์ศิลป์หลายๆ อย่าง การออกแบบหน่วยบูรณาการจะช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นและได้ใช้ชุดความรู้ได้อย่างแท้จริงตั้งแต่ต้น
กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน Problem-based learning (PBL) เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ผู้เรียนเข้าใจต่อปรากฏการณ์ต่างๆ และได้เครื่องมือที่เป็นทักษะไปพร้อมกัน นักเรียนจะเป็นผู้ระบุปัญหาที่ประสบอยู่แล้วแสวงหานวัตกรรมเพื่อลงมือในการแก้ปัญหานั้นด้วยตนเอง
ขั้นตอนการเรียนรู้
1. การเผชิญปัญหา จากสภาพจริง (ข้อมูลปฐมภูมิ เป็นปัญหาที่เผชิญอยู่ในตัวคน ในชุมชน ในสังคม ที่จะส่งผลสู่อนาคต) หรือ สภาพเสมือนจริง (ข้อมูลทุติยภูมิ )
2. การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเรียนรู้ โดยการอำนวยการให้เกิดการเรียนรู้ภายในของแต่ละคน และ การเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น สูงขึ้น อย่างเป็นองค์รวม ทั้งองค์รวมภายในคนคนหนึ่ง และ องค์รวมที่เชื่อมสัมพันธ์กันอยู่ในระบบใหญ่ ขั้นตอนการเรียนรู้มีดังนี้
1. ขั้นชง เป็นขั้นของกระตุ้นให้เกิดการปะทะจริงทางประสาทสัมผัส ทางความคิด หรือ ความรู้สึก โดยการสืบค้น ทดลอง ปฏิบัติ เกิดความรู้ความเข้าใจระดับบุคคลจากข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ ขั้นตอนนี้ครูต้องตั้งคำถามเก่งเพื่อจะปลุกเร้าความใคร่รู้ในตัวผู้เรียน
2. ขั้นเชื่อม เป็นขั้นของการแลกเปลี่ยน และ ตรวจสอบ เป็นการเชื่อมโยงสิ่งที่ตนเองรู้กับสิ่งที่คนอื่นรู้ ทั้งยังได้ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริงที่แต่ละคนพบเพื่อการมองเห็นรอบด้านของข้อเท็จจริง ขั้นตอนนี้ยังลดความอหังการ์ในตัวรู้ ในขณะเดียวกันโครงสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจก็จะก่อขึ้นในสมอง ในที่สุดก็จะพบคำตอบด้วยตัวเอง ขั้นตอนนี้ครูต้องเป็นนักอำนวยการที่จะสร้างบรรยากาศให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันอย่างแท้จริง ไม่ผลีผลามสรุปเสียเองเพราะการทำอย่างนั้นจะเป็นการลดทอนศักยภาพการเรียนรู้ในตัวผู้เรียน
3. ขั้นใช้ ซึ่งจะเป็นกระบวนการที่จะทำให้โครงสร้างความเข้าใจในสมองคมชัดขึ้น โดยการให้ผู้เรียนตอบสนองต่อโจทย์ใหม่ทันทีหลังจากขั้นเชื่อม เช่น การทำภาระงานหรือชิ้นงานใหม่ การทำการบ้าน หรือการปรับใช้ในชีวิตจริง เป็นต้น ขั้นตอนนี้ครูต้องเป็นนักสังเกตการณ์ที่สามารถมองเห็นความก้าวหน้าหรือความขัดข้องของเด็กแต่ละคน
กรุงเทพธุรกิจ ISSUE67 4-10 กันยายน 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น