เราควรตีค่าความสำเร็จทางการศึกษาจากสิ่งใด? เป็นคำถามที่ทุกคนต้องใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้แน่ชัดว่าเป้าหมายนั้นไม่ได้เป็นไปเพียงเพื่อสนองความต้องการของผู้ใหญ่เท่านั้น หรือ ไม่ได้ทำไปเพื่อเด็กคนใดคนหนึ่งอย่างโดดๆ เราต้องมองเป้าหมายที่เป็นความจำเป็นจริงๆ ต่อเด็กและต่อโลกในอนาคตและยังต้องคำนึกถึงความเป็นองค์รวมของเป้าหมายทั้งหมดเพื่อให้แต่ละคนได้สมบูรณ์พร้อมตามศักยภาพแห่งตน ดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีคุณค่าและปีติสุข
ที่ผ่านมาความกระหายใคร่รู้ทำให้เราข้าใจสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมมากขึ้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมเป็นความเชื่อใหญ่ของผู้คนให้เข้าใจว่าการศึกษาคือการสั่งสมความรู้ จึงส่งผลให้เราให้ความสำคัญกับการสอนความรู้ วัดผลจากความรู้ และตีค่าความสำเร็จโดยนัยจากความรู้ ทั้งที่ทุกคนรู้ดีว่าแท้ที่จริงเราต้องการให้ผู้คนดีงาม อยู่กันอย่างสงบ สันติ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความสุข
ผมเชื่อว่าเราส่วนใหญ่รู้ดีว่ากำลังเผชิญความท้าทายอะไรบ้าง และ รู้ดีว่าการที่จะปรับปรุงการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นควรทำอย่างไร แต่เรายังไม่ได้ทำกันอย่างเต็มกำลัง การสิโรราบหรือการยอมจำนนนั้นง่ายกว่า มันเป็นการปรับตัวแบบหนึ่งเพื่อให้เราได้กลับมามีสมดุลอีกครั้ง แต่สมดุลในระดับต่ำเป็นการปรับตัวเชิงถดถอย ที่คนส่วนใหญ่เลือกวิธีนี้เพราะสมองส่วนอะมิกดาลากระโจนเข้ามาทำงานก่อนสมองกลางหรือส่วนหน้า มันง่ายและสามารถหาเหตุผลได้มากมายมากล่าวอ้างได้อย่างสมเหตุสมผล ทั้งที่ธรรมชาติลึกๆ ที่ทำให้มนุษย์ก้าวหน้ามาได้ขนาดนี้เพราะเราปรับตัวอีกแบบคือการตะลุยฝ่าอุปสรรคนานามา ตลอดช่วงวิวัฒนาการมนุษย์ล้วนแต่ผลักดันเพื่อเอาชนะขีดจำกัดศักยภาพของเราเองเสมอ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงรอบด้านนี้ การศึกษาปัจจุบันจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างไร เราต้องมองไกลกว่าเป้าหมายอันตื้นเขิน มองมากกว่าความรู้ มากกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ มากกว่าการมีงานทำ ฯลฯ แต่ดูเหมือนการศึกษาซึ่งเป็น “ตัวจัดกระทำ” จะมี “ตัวแปรแทรกซ้อน” มากมายซ่อนอยู่ การควบคุมผลสูงสุดจึงอยากแสนเข็ญ การศึกษาอาจจะช่วยให้เราตระหนักว่าจะต้องแปรงฟันทุกวัน หรือ ระวังอย่าให้ตัวเองพลัดตกจากที่สูง. หรือ เราหาประโยชน์จากสิ่งต่างๆ อย่างไรได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้สร้างผลอย่างชัดเจนที่จะให้คนตระหนักว่าชีวิตของเรานั้นสั้นแค่ไหน
เราทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการให้การศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงต้องทำให้ได้ดีที่สุดเหมือนกับชาวสวนที่เฝ้าดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ในสวนทุกด้านอย่างพร้อมพรั่งทั้งรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ตัดแต่งกิ่ง หรือกำจัดศัตรูพืชให้ โดยหวังว่าปัจจัยที่ทำลงไปจะเอื้อให้ปัจจัยทางธรรมชาติของต้นไม้ออกผลของมันอย่างสมบูรณ์ ชาวสวนทำได้เพียงเฝ้ามองเฝ้ารอผลผลิตหลังจากที่ได้ทำทุกอย่างแล้ว
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา หรือ โรงเรียนนอกกะลา มองเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนอย่างเป็นองค์รวมซึ่งประกอบด้วยปัญญาภายนอก และ ปัญญาภายใน และทำทุกวิธีในฐานะของคนสวนที่ดี
ปัญญาภายนอก ได้แก่ ความฉลาดทางด้านร่างกายซึ่งหมายถึงการพัฒนาผู้เรียนให้สามารถดูแลและใช้กายอย่างมีคุณภาพ มีความแข็งแรง อดทน อวัยวะทุกส่วนทำงานอย่างสอดประสานกัน และอีกอย่างของปัญญาภายนอกคือความฉลาดทางด้านสติปัญญาซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจต่อโลกและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จะประกอบด้วยความรู้มากมายหลายแขนงที่จะใช้ในการดำเนินชีวิตหรือการประกอบอาชีพ
ปัญญาภายใน ได้แก่ ความฉลาดทางด้านจิตวิญญาณ และ ความฉลาดทางด้านอารมณ์ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเอง(รู้ตัว)และผู้อื่นจนสามารถจัดการอารมณ์ตนเองได้อย่างดี การเห็นคุณค่าในตัวเองและผู้อื่นหรือสิ่งต่างๆ เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย การเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างตนเองกับสิ่งต่างๆ นอบน้อมต่อสรรพสิ่งที่เกื้อกูลกันอยู่ การอยู่ด้วยกันอย่างภารดรภาพยอมรับในความแตกต่าง เคารพและให้เกียรติกัน อยู่อย่างพอดีและพอใจได้ง่าย การมีสติอยู่เสมอ รู้เท่าทันอารมณ์เพื่อให้รู้ว่าต้องหยุด หรือ ไปต่อ กับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ การมีสัมมาสมาธิเพื่อกำกับความเพียรให้การเรียนรู้หรือการทำภาระงานให้ลุล่วง และ การมีจิตใหญ่มีความรักความเมตตามหาศาล
ตีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ 7 สิงหาคม 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น