ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โรงเรียนเป็นเหมือนนักเดินทาง

      

      ขึ้นชื่อว่านักเดินทางเขาคงไม่สบายใจถ้ามีใครเอาสายวัดระยะมาวัดเพื่อบอกว่าเขาเดินทางไปได้ไกลแค่ไหน  หรือ เข้าใกล้ที่ใดสักแห่งเพียงใด  เพราะนักเดินทางไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเดินให้ถึงที่ไหนสักแห่งแต่มีจุดประสงค์เพื่อเก็บเกี่ยวเรื่องราวระหว่างทาง  ได้ใคร่ครวญครุ่นคิดกับสิ่งที่พบเห็น  รับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น  พัฒนาความงอกงามด้านในโดยปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการได้เดิน
      โรงเรียนทุกแห่งคงไม่สบายใจถ้ามีองค์กรประเมินมาตรฐานโรงเรียนเข้ามาประเมินแล้วไม่ได้ค้นหาเพื่อบอกสิ่งที่คุณค่าจริงๆ   บอกได้เพียงความจริงไม่แท้จากการใช้เครื่องมือประเมินที่มีดัชนีชี้วัดที่วัดได้เฉพาะระยะทาง  หรือ การมีผู้ประเมินจับจ้องเพียงระยะทางที่โรงเรียนจะไปถึงที่ไหนสักแห่ง  โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าโรงเรียนนั้นเดินอยู่บนเส้นทางไหน  ระหว่างเดินทางได้เก็บเกี่ยวอะไรไว้บาง  เกิดความสุขปีติขณะเดินทางมากน้อยเพียงใด หรือ เกิดความงอกงามด้านในเพียงใด
      มาตรฐาน  กำหนดอย่างตายตัวว่าความสำเร็จต้องเป็นอย่างไร   ดัชนีก็ชี้แคบจำเพาะลงไปเพื่อจับทั้งสิ่งที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมให้เป็นรูปธรรมอย่างเดียว 
      ทั้งที่โรงเรียนแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน  เสมือนคนแต่ละคนที่มีความเป็นเฉพาะของตัวเอง หรือ เสมือนไม้ในป่าที่ต้องมีความแตกต่างหลากหลายพันธุ์เพื่อเกื้อกูลกันให้เป็นป่า   แม้โรงเรียนซึ่งจัดโดยรัฐที่เป็นรูปแบบแบบเดียวกันแต่เมื่อตั้งอยู่ในชุมชนที่มีความแตกต่างทั้งทางภูมิศาสตร์  ความเป็นอยู่  วิถีการดำเนินชีวิต  ความเชื่อ  ค่านิยม วัฒนธรรมหรืออื่นๆ อีกมากมาย   ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สอดผสานเข้าสู่โรงเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการหล่อหลอมเด็กๆ ไปด้วย    การประเมินมาตรฐานโรงเรียนจึงควรเคารพถึงความแตกต่างระหว่างโรงเรียนอย่างยิ่ง  ยอมให้เกิดความยึดหยุ่นทั้งมาตรฐานและดัชนี  ทั้งยังต้องมีผู้ประเมินที่ไม่ใช่เทวดาแต่เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ประกอบด้วยทั้งหัวใจและสมอง  และที่สำคัญทั้งครู ผู้เรียน ผู้ปกครอง และชุมชนควรมีส่วนร่วมในการประเมินในสัดส่วนที่เป็นค่าส่วนใหญ่
      เป้าหมายคือมาตรฐานและตัวชี้วัดนั้นเป็นเพียงความคาดหวังในอนาคตซึ่งยังไม่มีจริง   เราควรค้นหาและให้คุณค่ากับสิ่งที่มีจริงๆ ในแต่ละโรงเรียนขณะปัจจุบันนั้น เพราะนั่นคือความสดใหม่ที่ทันการณ์ทันใช้ในบริบทของชุมชนนั่นๆ  ซึ่งเป็นหน้าที่ขององค์กรที่ให้การศึกษาไม่ใช่หรือที่จะต้องสร้างความสดใหม่ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก   แล้วโรงเรียนซึ่งหมายถึงทั้งผู้เรียน ครู ผู้ปกครองและคนในชุมชนจะกลายเป็นนักเดินทางที่มีความสุข  อิสระ และ เกิดความงอกงามด้านในจริงๆ

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โรงเรียนฤาษี


        กรอบคิดอุตสาหกรรม เมื่อพนักงานเข้าสู่โรงงาน จะถูกแยกส่วน แยกงานให้ทำอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างเดียวซ้ำ ซึ่งจะทำให้เกิดทักษะในการทำสิ่งนั้นๆ อย่างรวดเร็ว นั่นคือโรงงานจะให้ได้ชิ้นงานออกมาอย่างรวดเร็วในปริมาณมากๆ เช่น ในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า จะแบ่งกลุ่มคนทำหน้าที่ต่างๆ ได้แก่ เจาะรังดุม ทำปกคอ ตัดแขนเสื้อ ตัดแผ่นหลัง ตัดแผ่นหน้า เย็บแขนเสื้อ ประกอบเป็นตัว เป็นต้น วิธีการเหล่านี้จะทำให้โรงงานจะสามารถจ่ายค่าแรงได้ถูก ไม่ต้องง้อคนงานเพราะสามารถหาแรงงานทดแทนได้ง่าย ฝึกคนงานใหม่ทดแทนได้เร็วเพราะฝึกเพียงทักษะเดียว แต่พนังงานทั้งหมดจะอ่อนแอไม่สามารถตัดเย็บเสื้อทั้งตัวเป็น ไม่มีโอกาสได้ฝึกทักษะใหม่เพราะถูกกำหนดระยะเวลาทำงานต่อวันที่ยาวนานและปริมาณเป้าหมาย สุดท้ายการดำเนินชีวิตจะถูกกำหนดด้วยวิถีของโรงงาน
        การศึกษามีส่วนที่คล้ายกับวิถีของโรงงาน หลักสูตรแกนกลางถูกกำหนดค่อนข้างแข็งรูปและคงอยู่ยาวนาน อาจใช้เวลากว่าสิบปีจึงมีการเปลี่ยนแปลงสักทีนั่นย่อมไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งสภาพแวดล้อม การเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม หลักสูตรยังถูกแยกเป็นช่วงชั้น เป็นวิชา ฝึกทักษะเป็นอย่างๆ และใช้เวลายาวนาน กว่าคนๆ หนึ่งจะเรียนได้ครบถ้วนและสามารถประติดประต่อมวลความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาจนสามารถดำเนินชีวิตแบบพึ่งพาตัวเองได้ต้องมีอายุเลยยี่สิบปี
        สอนกันแบบฤาษี เป็นการเรียนรู้ผ่านการถ่ายทอดมวลความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จริงจากครูที่เป็นฤาษี ซึ่งไม่มีหลักสูตรตายตัว ไม่ครอบงำด้วยเงื่อนไขแบบอุตสาหกรรม เช่น เวลา การวัดความสำเร็จออกมาเป็นตัวเลข การตีค่า การประเมินความคุ้มค่า เป็นต้น ซึ่งหมายถึงผู้เรียนจะได้เรียนทุกมวลของความเป็นมนุษย์จริงๆ 1 ชุด และ เมื่อได้เรียนรู้หลายๆ ชุดจากครูฤาษีหลายๆ คน ผู้เรียนจะเกิดการประมวลผลด้านใน จนก่อรูปเป็นตัวตนของมนุษย์อีกคนหนึ่งซึ่งไม่เหมือนใครเป็นลักษณะเพราะที่ประมวลเอาจุดแข็งที่ได้เรียนรู้มาเข้าเป็นก้อนใหม่ ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งทางด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง และทางสังคม
        ประเด็นที่อาจจัดให้เกิดการเรียนรู้จากฤาษี ได้แก่ เรียนรู้รูปแบบการดำเนินชีวิต การสร้างปัจจัยที่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิต การปรับสมดุลระหว่างกายกับจิต ทำความเข้าใจค่านิยม ความคิด ความเชื่อที่ใช้ในการดำเนินชีวิต ฝึกฝนทักษะที่ใช้ดำเนินชีวิตทั้งหมด ซึมซับความเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า เป็นต้น และ เราไม่จำเป็นต้องกังวลกับคุณสมบัติของครูที่จะเป็นฤาษีเพราะทุกชีวิตมีคุณค่าที่ควรค่าแก่การเรียนรู้อยู่แล้ว
        โรงเรียนฤาษี จึงมีหวัง

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาหารจากสวรรค์

 
     วันหนึ่งผมเดินดูและทักทายกับเด็กๆ ที่กำลังนั่งกินข้าวกลางวันกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ผมบอกเด็กๆว่า “วันนี้เราได้กินอาหารที่มาจากทะเลด้วย” เด็กๆ มองดูอาหารในถาดซึ่งเป็นต้มยำไก่ และผัดบวบใส่ไข่ แล้วเริ่มเขี่ยดูว่าในอาหารมีอะไรมาจากทะเลบ้าง ทุกคนต่างก็สงสัยว่ามีอะไรมาจากทะเลต่างคนก็ต่างตอบไปต่างๆ นานา แต่แล้วก็มีผู้เด็กชายคนหนึ่งบอกว่า “ผมรู้แล้วว่าอะไรที่มาจากทะเล น้ำไงครับ น้ำจากทะเลกลายเป็นเมฆ แล้วกลายเป็นฝนตกในแม่น้ำ แล้วคุณป้าแม่ครัวก็เอามาทำเป็นน้ำแกง”
      ผมจึงถามต่อว่า “แล้วอาหารจากพื้นดินล่ะ”
      “บวบค่ะ” เด็กๆ ตอบได้ทุกคน
      “ไม่ได้มีเท่านี้นะ วันนี้เรายังได้กินอาหารจากสวรรค์ด้วย” เด็กๆ นิ่งครุ่นคิดกันใหญ่ว่าอะไรคืออาหารที่มาจากสวรรค์
      การที่เด็กๆ รู้สึกได้ว่าสิ่งต่างๆ สัมพันธ์กัน เชื่อมโยงกัน มีความสำคัญต่อการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ เป็นการลดอัตตาได้ทางหนึ่ง ทำให้เด็กๆ รู้สึกอยู่เสมอว่าตนเองไม่ใช่ศูนย์กลางที่ทุกๆ สิ่งต้องมาสนอง แต่ตัวเองเป็นเพียงหนึ่งในห่วงโซ่ที่มองไม่เห็น ทั้งยังได้เห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในสิ่งต่างๆ เราสามารถหยิบฉวยสิ่งที่อยู่รอบตัวมาทำกิจกรรมเพื่อให้เด็กๆ เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ได้ง่ายๆ เช่น
      เมื่อเห็นกิ้งกือก็ให้เด็กๆ วาดความเป็นกิ้งกือออกมา ครูตั้งคำถาม “สิ่งเราเหมือนกันกับกิ้งกือคืออะไรบ้าง หรือ ทำไมโลกเราจึงต้องมีกิ้งกือ” แล้วปล่อยให้เด็กๆ ได้ตอบกันอย่างอิสระและให้ได้รับฟังคำตอบของกันและกันด้วย โดยครูไม่จำเป็นต้องบอกคำตอบออกไป
      ให้เด็กๆ นั่งตามลำพังใต้ต้นไม้เพื่อฟังสิ่งที่ต้นไม้บอกเล่าแล้วเขียนออกมา
      กิจกรรมเห็นฉันในเธอและเห็นเธอในฉัน โดยให้เด็กๆ จับคู่แล้วนั่งหันหลังพิงกันให้คนหนึ่งวาดภาพอะไรก็ได้ลงในกระดาษของตนเองแล้วบรรยายให้อีกคนวาดตามลักษณะที่ได้ยิน หรือ ให้ต่อตัวต่อให้เหมือนกันทุกประการโดยไม่ให้ดูแต่ฟังจากคำบอกเล่า หรือ ให้ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันและขยับกายแบบเดียวกันเสมือนภาพสะท้อนในเงากระจก หรือ ให้ทั้งคู่ค้นหาว่าอะไรที่ทำให้มีความสุขหรือทุกข์เหมือนกัน
      การที่เด็กๆ เห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ กับตัวเอง ยังนำไปสู่ความศรัทธาและนอบน้อมต่อสรรพสิ่ง
      การที่จะทำให้เด็กๆ เห็นความเต็มในความว่างเปล่า หรือ การเห็นสิ่งต่างๆ ในตัวเองต้องอาศัยการมีสติรู้ตัวที่พรั่งพร้อม ขณะที่มีสติจดจ่อกับปัจจุบันการใคร่ครวญด้านในก็จะเกิดขึ้นเพราะในช่วงขณะนั้นสิ่งรบกวนข้างนอกก็จะไม่เข้ามา การฝึกให้เด็กๆ มีสติไม่ได้หมายถึงการนั่งสมาธิเท่านั้น กิจกรรมอื่นๆ เช่น การเดินตามรอยเท้าที่อยู่บนพื้น การใช้ไม้ยาวๆ ขีดเส้นบนพื้นแล้วให้เด็กๆ ขีดเส้นซ้ำรอยเดิม การส่งแก้วที่มีน้ำที่อยู่เต็มต่อๆ กัน การติดตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย การติดตามเรื่องราวที่ครูเล่า การเล่าเรื่องต่อกัน การทำโยคะ การแสกนร่างกาย ซึ่งกิจกรรมจะต้องไม่ให้เด็กรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามหรือกำลังถูกควบคุม    ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากที่จะนำเด็กไปสู่การมีสติ ครูต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอเช่นกันเพื่อให้น้ำเสียง จังหวะการพูด หรือจังหวะการเคลื่อนไหวทางกายภาพของครูสามารถดึงความสนใจของเด็กๆ กลับมาสู่การมีสติได้เสมอ
         .....แล้วเราก็จะได้ลิ้มรสชาติอาหารที่มาจาสวรรค์...

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฤดูกาลอันดีงาม


ความทรงจำเรามักจะโยงด้วยความรู้สึกอะไรบ้างอย่างเสมอ เช่น ความรู้สึกปราบปลื้มปีติ ความอบอุ่นปลอดภัย ความกลัว ความประหม่า การเสียหน้า เป็นต้น เหตุการณ์ในอดีตที่ไม่ได้โยงกับความรู้สึกใดๆ เราก็จะลืมเลือนไปอย่างรวดเร็ว
กลางเดือนพฤษภาคมความทรงจำกับช่วงเวลาของการเปิดเรียนปีการศึกษาใหม่เวียนมาอีกรอบ แม้จะผ่านมาหลายปีแต่เรายังจำได้ว่าวันแรกที่ไปโรงเรียนนั้นเป็นอย่างไร อาจจะใช้เวลาตอนนี้สักนาทีเพื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น นั่นจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ทั้งนี้เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับฤดูกาลเปิดเรียนปีนี้มันทำให้เรารู้สึกอึดอัด และหมองเศร้า
    เราแก้ไขสิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่ได้
แต่เหตุการณ์นี้ก็เป็นเครื่องย้ำเตือนอันหนักหน่วงต่อเราว่าจะต้องใส่ใจและจริงจังที่จะให้การศึกษาที่ดีกับเด็กๆ ยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เหตุการณ์อันเลวร้ายนี้ซ้ำรอยอีก
การศึกษาจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอย่างเร่งด่วนโดยต้องมุ่งสร้างความดีงามให้เกิดขึ้นในใจของคนเป็นเป้าหมายหลัก เราไม่ได้อับจนความรู้ แต่เราอับจนปัญญาความดี คนในสังคมยังมองการศึกษาคือการเรียนในโรงเรียนหรือในสถาบันการศึกษา มองเป้าหมายความสำเร็จของการศึกษากันที่วุฒิและความรู้ ในศตวรรษที่ผ่านมามนุษย์ได้ขยายขอบเขตความรู้ออกไปไกลกว้างใหญ่ไพศาล แต่ความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นมันทำให้ค่าเฉลี่ยความสุขของมนุษย์สูงขึ้นกว่าเมื่อห้าสิบปีก่อนหรือไม่ กลับกลายเป็นว่าขณะที่สมองพองโตขึ้นแต่หัวใจกลับลีบเล็กลง
การศึกษาเป็นหน้าที่ของทุกคน นั่นคือ มนุษย์โตเต็มวัยทุกคนมีหน้าที่ที่จะให้การศึกษาที่ดีกับมนุษย์เยาว์วัยทุกคน
วันเปิดเรียนแล้ว เด็กๆกว่าแปดล้านคนกำลังเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ ทั้งหมดคือความหวัง
สมองของเด็กเรียนรู้ตลอดเวลาผ่านประสาทสัมผัสรับรู้ที่ตื่นตัว เด็กๆ เรียนรู้จากการเลียนแบบอากัปกริยา การพูด การแสดงออก วิธีคิด ความเชื่อ จากคนในครอบครัว จากคนในสังคม จากนักสื่อสาร จากผู้นำประเทศ เด็กๆรับรู้จากสื่อภายนอกมากกว่าในห้องเรียนโดยผ่านทางคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์ ที่ถั่งโถมเข้าใส่ทุกลมหายใจเข้าออก ข้อมูลมากมายมหาศาลทำให้พวกเขาต้องพยายามจับต้นชนปลายสิ่งที่รับรู้เหล่านั้นเพื่อแปลความสู่ความเข้าใจด้วยตัวเอง เราอาจจะโชคดีถ้าเด็กๆ ทั้งหมดแปลความหมายสู่สิ่งที่ดีงามและเลือกที่จะคิดและเชื่อในทางที่ดีงาม แต่ถ้าเป็นในทางตรงกันข้ามผลจะกลับกัน
การนั่งรอโชคช่วยนั้นไม่ใช่ทางเลือก เราคงทุกคนต้องเริ่มทำ หันหาทิศทางที่ถูกทาง สร้างเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะมุ่งสร้างคนให้ดีก่อนให้เก่ง จากนั้นก็จดจ่อกับทิศทางนั้นเสมอแล้วก็ทำอย่างไม่ลดละ ช่วยกันสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในแต่ละคนเพื่อให้เกิดความสุขมวลรวม เมื่อมีโอกาสหรือช่องทางก็สื่อสารความดีงามให้มากขึ้น และที่สำคัญที่สุดเราต้องปฏิบัติกับแด็กๆอย่างมนุษย์คนหนึ่ง ให้ทุกคนได้รับคุณค่าความเป็นมนุษย์ ซึ่งนั่นไม่จำเป็นต้องหาเครื่องไม้เครื่องมือมาจากที่ไหนเพราะเรามีเครื่องมือที่มีค่าที่สุดอยู่แล้วในตัวเราทุกคน นั่นคือหัวใจที่ดีงาม
                            ---ขอกำลังใจทั้งมวลให้ครูและผู้ปกครองทุกคน----------

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

ดวงตาที่มองโลก



ยามเช้าวันที่ 19 เมษายน ผมยืนมองผู้คนนอกหน้าต่างห้องพัก  
แม่กับลูกสาววัยสามขวบอยู่ที่สวนหลังอาคาร
“แม่คะทำไมหญ้ามันเปียก” เด็กหญิงวัยสองขวบเจื้อยแจ้วถามขณะที่ใช้มือแตะที่พื้นเปียก
“เพราะน้ำค้างค่ะ” แม่ตอบด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“น้ำทำไมจึงค้างล่ะคะ”
ไม่มีคำตอบ แม่ยังปั่นจักรยานสำหรับออกกำลังกายด้วยจังหวะปกติ
สักพักเด็กหญิงก็พูดขึ้นกับดอกหญ้า “ดอกหญ้าเล็กๆ นี่สวยจัง”
“ดูหนอนด้วยนะลูก” แม่ซึ่งเฝ้าดูอยู่สำทับ
“มันน่ารักด้วยนะคะแม่”
“อย่าไปแตะเดี๋ยวใบหญ้ามันทิ่มเอา” น้ำเสียงแม่ออกจะกังวล
ลูกสาวรามือจากยอดหญ้า “โอโฮ ก้อนหินนี้สูงจัง หนูปีนได้ไหมคะแม่”
“ไม่เอาลูกมันลื่นเดี๋ยวตกแขนหัก”
“ก็หนูอยากลื่นนะ”
“เอ๊ะ ดื้อจริงลูกคนนี้ มาไปวิ่งกับแม่ดีกว่า” แล้วแม่ลงจากจักรยานเข้ามาจูงลูกสาวและออกวิ่งจากไป แต่ผมยังแว่วได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวที่ตั้งคำถามจากสิ่งที่พบเห็นบนรายทาง

เด็กกับผู้ใหญ่มักมองโลกด้วยดวงตาที่ต่างกัน
เด็กเฝ้ามองอย่างกระหายที่จะเรียนรู้จริงผ่านประสาทสัมผัสทั้งมวล

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

สร้างจิตดวงใหญ่ ด้วยรักแบบไม่มีเงื่อนไข

     
เรามักได้ยินสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ
“อย่าทำอย่างนั้น ไม่งั้นแม่จะไม่รัก”
“อยากให้พ่อแม่รัก  ต้องตั้งใจเรียนสิลูก"
“ถ้าลูกสอบได้อันดับดีๆ จึงจะพาไปเที่ยว”
“เด็กๆ ต้องตั้งใจเรียน ตั้งใจฟังครู ครูจึงจะให้ดาวความดี”
“เด็กๆ จะได้ฟังนิทานก็ต่อเมื่อส่งการบ้านทุกคน”

      แม้ทั้งหมดจะเป็นพฤติกรรมที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี แต่กลับเป็นความรักที่มาพร้อมกับเงื่อนไข ที่ต้องแลกกับแบบต่างตอบแทน เสมือนเด็กๆ ไม่มีคุณค่าพอที่จะให้เรารักแบบไม่มีเงื่อนไข

      การที่รู้สึกว่าจะไม่ได้รับความรักนั้นทำให้มนุษย์อ่อนไหว เมื่อเด็กๆ ได้เรียนรู้ตั้งแต่เล็กถึงวิธีการสร้างกับดักอันชอบธรรม โดยการสร้างเงื่อนไขขึ้นมาต่อรองเพื่อแลกกับความรัก เงื่อนไขทั้งที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมจึงกลายเป็นตัวกลางที่สำคัญระหว่างคน แล้วความปรารถนาดีต่อกันอย่างบริสุทธิ์ก็น้อยลง

      เราควรตระหนักที่จะเริ่มต้นรักอย่างไม่มีเงื่อนไข  และพยายามหาวิธีที่จะไม่ทำให้เงื่อนไขที่เราสร้างขึ้น(อาจโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม)ถูกเพาะเลี้ยงไว้ภายในเขา  เพื่อจะรับประกันได้ว่าเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะมีจิตดวงใหญ่ที่สามารถบรรจุผู้คนมากมายไว้ในนั้นด้วยความรักที่ปราศจากเงื่อนไข  เหมือนทะเลที่รองรับได้ทุกสิ่ง

แล้วกำแพงมายาที่กั้นเราอยู่ก็จะพังทลายลง

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

นอกไข่แดงคือการเรียนรู้


ภายในไข่แดงคือขอบเขตของความปลอดภัย เป็นการทำงานของโหมดปกติ ด้วยความเคยชิน เป็นการดำเนินชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันแบบไม่ต้องคิดใคร่ครวญให้มาก เช่น ตื่นนอน เราเข้าส้วม นั่งถ่าย ฉีดสายชำระ แปรงฟัน รดน้ำต้นไม ขับรถไปที่ทำงาน ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างอัตโนมัติ

แต่การออกนอกเขตไข่แดง จะทำให้เราได้ไตร่ตรองครุ่นคิด เพื่อโยงสิ่งที่พบพานใหม่กับประสบการณ์ที่มี มวลประสบการณ์ทั้งหลายจะโยงใยเพื่อเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาใหม่ที่เข้ามา

เช่น ตอนที่เราไปเที่ยวทะเล เราเรียนรู้การหายใจด้วยปากเมื่อต้องใช้สน็อกเกิ้ล ความไม่เคยชินแรกๆ อาจทำให้บางครั้งสำลักน้ำ แต่เมื่อเราลองทำครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็สามารถดำน้ำดูปะการังที่สวยงามนั้นได้ ซ้ำเรายังสามารถปรับแต่งอุปกรณ์ให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเอง ความยากก่อนหน้านั้นกลายเป็นเรื่องง่ายๆ

ลูกไก่สามารถมีชีวิตอยู่ได้สี่ห้าวันหลังจากฟักโดยไม่ต้องกินอะไร ทั้งนี้เพราะไข่แดงที่ติดตัวมา หากมันไม่หัดคุ้ยเขี่ยและจิกกินอาหารตั้งแต่วันแรกๆ ที่ฟักออกมา ไม่กี่วันเมื่อไข่แดงหมดมันก็จะง่อยเปลี้ยและตายไป

โหมดอัตโนมัติ หรือ การอยู่ในไขแดงเองก็ใช้ประโยชน์สำหรับการดำรงอยู่ได้อย่างจำกัด เพราะในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างยิ่งนี้ การออกจากไข่แดงอยู่เนืองๆ จะเกิดการเรียนรู้อยู่เสมอๆ นั่นจะขยายขอบเขตไข่แดงของเราเองให้กินขอบเขตมากขึ้น ซึ่งพอจะรับประกันได้ว่าเราจะยังอยู่ในโลกได้อย่างไม่ลำบาก