ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาหารจากสวรรค์

 
     วันหนึ่งผมเดินดูและทักทายกับเด็กๆ ที่กำลังนั่งกินข้าวกลางวันกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ผมบอกเด็กๆว่า “วันนี้เราได้กินอาหารที่มาจากทะเลด้วย” เด็กๆ มองดูอาหารในถาดซึ่งเป็นต้มยำไก่ และผัดบวบใส่ไข่ แล้วเริ่มเขี่ยดูว่าในอาหารมีอะไรมาจากทะเลบ้าง ทุกคนต่างก็สงสัยว่ามีอะไรมาจากทะเลต่างคนก็ต่างตอบไปต่างๆ นานา แต่แล้วก็มีผู้เด็กชายคนหนึ่งบอกว่า “ผมรู้แล้วว่าอะไรที่มาจากทะเล น้ำไงครับ น้ำจากทะเลกลายเป็นเมฆ แล้วกลายเป็นฝนตกในแม่น้ำ แล้วคุณป้าแม่ครัวก็เอามาทำเป็นน้ำแกง”
      ผมจึงถามต่อว่า “แล้วอาหารจากพื้นดินล่ะ”
      “บวบค่ะ” เด็กๆ ตอบได้ทุกคน
      “ไม่ได้มีเท่านี้นะ วันนี้เรายังได้กินอาหารจากสวรรค์ด้วย” เด็กๆ นิ่งครุ่นคิดกันใหญ่ว่าอะไรคืออาหารที่มาจากสวรรค์
      การที่เด็กๆ รู้สึกได้ว่าสิ่งต่างๆ สัมพันธ์กัน เชื่อมโยงกัน มีความสำคัญต่อการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ เป็นการลดอัตตาได้ทางหนึ่ง ทำให้เด็กๆ รู้สึกอยู่เสมอว่าตนเองไม่ใช่ศูนย์กลางที่ทุกๆ สิ่งต้องมาสนอง แต่ตัวเองเป็นเพียงหนึ่งในห่วงโซ่ที่มองไม่เห็น ทั้งยังได้เห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในสิ่งต่างๆ เราสามารถหยิบฉวยสิ่งที่อยู่รอบตัวมาทำกิจกรรมเพื่อให้เด็กๆ เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ได้ง่ายๆ เช่น
      เมื่อเห็นกิ้งกือก็ให้เด็กๆ วาดความเป็นกิ้งกือออกมา ครูตั้งคำถาม “สิ่งเราเหมือนกันกับกิ้งกือคืออะไรบ้าง หรือ ทำไมโลกเราจึงต้องมีกิ้งกือ” แล้วปล่อยให้เด็กๆ ได้ตอบกันอย่างอิสระและให้ได้รับฟังคำตอบของกันและกันด้วย โดยครูไม่จำเป็นต้องบอกคำตอบออกไป
      ให้เด็กๆ นั่งตามลำพังใต้ต้นไม้เพื่อฟังสิ่งที่ต้นไม้บอกเล่าแล้วเขียนออกมา
      กิจกรรมเห็นฉันในเธอและเห็นเธอในฉัน โดยให้เด็กๆ จับคู่แล้วนั่งหันหลังพิงกันให้คนหนึ่งวาดภาพอะไรก็ได้ลงในกระดาษของตนเองแล้วบรรยายให้อีกคนวาดตามลักษณะที่ได้ยิน หรือ ให้ต่อตัวต่อให้เหมือนกันทุกประการโดยไม่ให้ดูแต่ฟังจากคำบอกเล่า หรือ ให้ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันและขยับกายแบบเดียวกันเสมือนภาพสะท้อนในเงากระจก หรือ ให้ทั้งคู่ค้นหาว่าอะไรที่ทำให้มีความสุขหรือทุกข์เหมือนกัน
      การที่เด็กๆ เห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ กับตัวเอง ยังนำไปสู่ความศรัทธาและนอบน้อมต่อสรรพสิ่ง
      การที่จะทำให้เด็กๆ เห็นความเต็มในความว่างเปล่า หรือ การเห็นสิ่งต่างๆ ในตัวเองต้องอาศัยการมีสติรู้ตัวที่พรั่งพร้อม ขณะที่มีสติจดจ่อกับปัจจุบันการใคร่ครวญด้านในก็จะเกิดขึ้นเพราะในช่วงขณะนั้นสิ่งรบกวนข้างนอกก็จะไม่เข้ามา การฝึกให้เด็กๆ มีสติไม่ได้หมายถึงการนั่งสมาธิเท่านั้น กิจกรรมอื่นๆ เช่น การเดินตามรอยเท้าที่อยู่บนพื้น การใช้ไม้ยาวๆ ขีดเส้นบนพื้นแล้วให้เด็กๆ ขีดเส้นซ้ำรอยเดิม การส่งแก้วที่มีน้ำที่อยู่เต็มต่อๆ กัน การติดตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย การติดตามเรื่องราวที่ครูเล่า การเล่าเรื่องต่อกัน การทำโยคะ การแสกนร่างกาย ซึ่งกิจกรรมจะต้องไม่ให้เด็กรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามหรือกำลังถูกควบคุม    ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากที่จะนำเด็กไปสู่การมีสติ ครูต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอเช่นกันเพื่อให้น้ำเสียง จังหวะการพูด หรือจังหวะการเคลื่อนไหวทางกายภาพของครูสามารถดึงความสนใจของเด็กๆ กลับมาสู่การมีสติได้เสมอ
         .....แล้วเราก็จะได้ลิ้มรสชาติอาหารที่มาจาสวรรค์...