ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ระบบปิดทำให้อ่อนแอ


องค์กรเปิด
แท้จริง โลกของเราเป็นสังคมเปิด เราไม่สามารถปิดอะไรได้อย่างแท้จริง ขณะที่เทคโนโลยีการสื่อสารมีความก้าวล้ำอย่างยิ่ง ทำให้การกระจายข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ฉับพลัน ทั่วถึงกันทั่วโลก
เราอาจจะกังวลว่า เด็กๆ จะได้รับข้อมูลข่าวสารด้านลบ เช่น ภาพและเสี่ยงที่ไม่เหมาะสม แต่หารู้ไม่ว่าเราไม่มีทางปกปิดสิ่งเหล่านี้ได้ เช่น ถ้าหากเราต้องการค้นหาข้อมูลรูปภาพจาก Internet สักภาพ ไม่ว่าเราจะใช้คำใดในการสืบค้น ผลที่เกิดจากการสืบค้นจะปรากฏภาพลามก หวาบหวิว ติดมาด้วย ยิ่งถ้าเราคลิ๊กเข้าดูภาพนั้น มันจะเชื่อมกับภาพอื่นๆ อีกมากมาย
เราต้องมองโลกในแง่ที่ดีและเข้าใจในสังคมแบบเปิด ยิ่งปิดกั้นยิ่งต้องการรู้ การสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้รู้เท่าทันจึงจำเป็นกว่าการปิดระบบ

ระบบปิดจะทำให้เกิดความอ่อนแอ
ผมเป็นลูกชาวนา ครั้งหนึ่งผมเลี้ยงเป็ดไว้ 30 ตัว เลี้ยงตั้งแต่ตัวเล็กแบเบาะ ทำคอกเล็กๆ แต่ก็ใหญ่พอสำหรับลูกเป็ดทั้งหมด หน้าที่ของผมคือให้อาหารพวกมันในตอนเช้าและตอนเย็น ผมไม่ได้ปล่อยให้เป็ดออกนอกคอกเพราะผมขี้เกียจตอนไล่ต้อนมันกลับเข้าคอก
เมื่อเป็ดเหล่านั้นโตขึ้น ผมรู้สึกว่าคอกนั้นแคบลง แต่ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะขยายคอกให้กว้างขึ้น หรือ ปล่อยให้พวกมันออกไปข้างนอกบ้าง ผมยังให้อาหารพวกมันเช่นเดิมคือตอนเช้าและตอนเย็น
ผ่านไป 3 เดือน เป็ดทุกตัวโตขึ้นมากจนเกือบได้ขนาดที่จะขายได้
แต่แล้ววันหนึ่ง ปรากฏว่าเป็ดที่ผมเลี้ยงแทบทุกตัวลุกไม่ขึ้น อ่อนเปลี้ยเสียขา ทั้งคอพับคออ่อน ทั้งไม่ยอมกินอาหาร
จากหนังสือ : คนบนต้นไม้(2552)

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แบบเรียน..แบบว่า...

แบบเรียนกลายเป็นสัญลักษณ์ของ "การเรียน" ไปตั้งแต่มนุษย์คิดคำนี้ออก




การเรียนผ่านแบบเรียนจะรับประกันได้ว่าผู้เรียนจะมีความรู้มากพอ โดยเทียบเคียงกับปริมาณของสิ่งที่ผู้อื่นรู้

...แบบว่า...ใครรู้มาก จดจำความรู้ในแบบเรียนได้มาก คนนั้นชนะ

การเรียนจากแบบเรียนนั้น การจำ จึงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นกว่าการคิด หรือ การใคร่ครวญ

ความคิดนี้มันฝังหมุดในหัวมนุษย์เสียจมมิด

จนโลคมาถึงยุคข้อมูลข่าวสาร

ข้อมูลได้กระเจิดกระเจิง และ กระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมของโลก

วันหนึ่งๆ มีข้อมูลใหม่+ความรู้ใหม่ เกิดขึ้นทั่วโลกรวมกันกว่า 25 ล้านคำ คนคนหนึ่งอาจต้องใช้เวลาอ่านกว่า 10 ปีกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในวันเดียว

..แบบว่า..เป็นข้อมูลขยะเสียมาก

ข้อมูลขยะไม่ได้หมายถึงข้อมูลในทางไม่ดี แต่หมายถึงข้อมูลหรือความรู้ที่เก่าแล้ว หรือ เป็นข้อมูลที่ไม่มีความหมาย ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความจำเป็น ต่อคนคนหนึ่ง

การที่จะให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านแบบเรียนต้องทำอย่างระมัดระวัง เพราะข้อมูลในนั้นส่วนใหญ่อาจเป็น ข้อมูลขยะ และ ผู้เรียนอาจจะใช้เครื่องมือเดียวในการเรียนรู้คือ การจำ และ ผู้สอนอาจจะตีค่าการเรียนรู้ที่ การรู้มากหรือรู้น้อย


โลกยุคข้อมูลข่าวสารนั้นกำลังจะผ่านไปแล้ว

เรากำลังเข้าสู่โลกแห่งปัญญา


วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โรงเรียนที่ไม่มีการสอบ

ทำไมต้องสอบ?

การศึกษารูปแบบปัจจุบันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ก่อนหน้านั้นกว่า 10,000 ปี เป็นยุคของเกษตรกรรมที่ผู้คนหลุดออกจากยุคเร่ร่อนแล้วก็เริ่มเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ลูก ๆ ในครอบครัวสามารถอยู่และเรียนรู้ร่วมกันพ่อแม่ได้ตลอดเวลา พ่อแม่เป็นผู้สอนทักษะชีวิต ความรู้พื้นฐานที่จำเป็น ใช้ชีวิตในวิถีทางร่วมกันได้
แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ มีโรงงานเกิดขึ้นมากมาย เป็นโรงงานที่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเดียวกันได้คราวละมาก ๆ เป็นโรงงานที่ตอบสนองต่อการผลิตสินค้าเพื่ออำนวยความสะดวกความสบายให้กับมนุษย์ จนถึงตอบสนองการบำรุงกิเลส ซึ่งมากกว่าพื้นฐานความจำเป็นที่มนุษย์โดยทั่วไปควรจะได้ ระบบนั้นได้ผลักคนส่วนใหญ่เข้าสู่โรงงาน และโรงงาน ส่วนเด็ก ๆ ถูกผลักไปสู่โรงเรียนในที่เป็นระบบเดียวกัน และโรงเรียนในระบบก็สอนให้เด็กเหล่านั้นเพื่อเข้าไปสู่โรงงาน สอนให้คนรู้ในสิ่งที่คนอื่นรู้ไว้แล้ว
กรอบความคิดอุตสาหกรรม (นักเรียนเสมือนวัตถุดิบของโรงงาน)
# ถูกคัดเลือกด้วยเกณฑ์เดียวกัน
# มีหลักสูตร หรือ สอนเหมือน ๆ กัน ความจริง หรือ สิ่งถูก ถูกกำหนดไว้ก่อนแล้ว
# เพื่อ.ให้จบออกมามีคุณภาพเหมือนกัน ในปริมาณมากๆ
โรงเรียนกำหนดมาตรฐาน และผลสำเร็จแบบเดียวกันเหมือนกับผลผลิตของโรงงานที่ต้องการผลผลิตเดียวกันจำนวนมาก ๆ และสิ่งที่จะมาวัดได้อย่างรวดเร็วก็คงจะเป็นแบบทดสอบ เพราะมันเป็นปรนัย คือ เห็นค่าเป็นคะแนนที่ชัดเจน กรอบความคิดเหล่านี้เป็นโครงสร้างที่แข็งแกร่งในสังคมต่อมายาวนานกว่า 300 ปี
ผ่านจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมาเป็นยุคดิจิตอล ยุคข้อมูลข่าวสารระบบการศึกษาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ข้อมูลที่มากขึ้น ๆ กลับสร้างปัญหา เพราะกรอบความคิดเดิมยังบอกให้เชื่อว่าผู้ที่มีข้อมูลมากกว่า ผู้ที่รู้มากกว่าคือผู้ชนะ เริ่มใช้การไม่ได้
ทุกโรงเรียน จึงยังคงสอบ มีเกณฑ์เดียวกัน ต้องการผลผลิตเดียวกัน ต้องการให้คนรู้ในเรื่องเดียวกันในความรู้ที่มีคนรู้อยู่แล้ว ใครที่รู้ได้เหมือน หรือรู้เท่าก็ชนะ
วิธีการแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เกิดสิ่งสร้างสรรค์ขึ้นมา การแข่งขันต้องลดลงและหายไป แต่ความร่วมมือต้องเกิดขึ้นและมากขึ้น
โรงเรียนนอกกะลา เราปฏิเสธการสร้างคนเพื่อการแข่งขัน แต่เราต้องการคนที่รู้จักการสร้างความร่วมมือ เพราะฉะนั้น หากพูดถึงการสอบเราจึงไม่ใช้เลย แต่เรามีระบบการวัดผลและการประเมินผลเพื่อให้รู้ว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าเพียงใด
เมื่อพูดถึงการวัดผลและประเมินผล กับการสอบมันเป็นคนละอย่างกัน ลองจินตนาการถึงตัวช้าง ในความเชื่อของคนงาช้างนั้นมีค่าที่สุด ถ้าช้างทั้งตัวคือการวัดผลประเมินผล การสอบนั้นเปรียบได้ดังขนช้าง ไม่ใช่ว่าจะไม่มีค่าเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญ
การวัดผล และประเมินผล ของโรงเรียนนอกกะลา เรามีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อพัฒนาพัฒนาผู้เรียน ไม่ได้เพื่อตัดสิน เราจะใช้แนวทางในการวัดผล ประเมินผลตามสภาพจริง ที่เกิดขึ้นทุกขณะอย่างต่อเนื่อง (Authentic Assessment) โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การสังเกต สัมภาษณ์พูดคุย ดูจากชิ้นงาน กระบวนการทำงาน การปฏิบัติในวิถีชีวิตจริง แฟ้มงาน และการสะท้อนงาน วิธีการประเมินเหล่านี้กลับพบข้อมูลที่ละเอียดลึกซึ้งที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้เรียนมากกว่าการสอบ การสอบกลับเป็นอะไรที่หยาบ ๆ และทั้งยังไม่คำนึงถึงความแตกต่างและศักยภาพของแต่ละคน การสอบไม่ได้เคารพความเป็นตัวตนของแต่ละคน การสอบเป็นเพียงการอ้างอิงข้อมูล ข้อเท็จจริงหรือความรู้ที่เก่าที่ผู้เรียนรู้
ที่นี่จึงไม่มีการสอบ ความรู้ที่เป็นปัจเจก กลับมีความสำคัญในระบบนิเวศน์ทางสังคม มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของสังคม เพราะความหลากหลายไม่ใช่ความรู้ที่เป็นชุดสำเร็จเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ป็นความรู้ที่เชื่อมโยงแล้วมีปลายทุกด้านเป็นปลายเปิด
วิธีการประเมินตามสภาพจริง ทุกขณะอย่างต่อเนื่อง (Authentic Assessment) อย่างแท้จริงจึงเป็นการส่งเสริมให้เกิดองค์ความรู้เชิงปัจเจก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศน์ทางสังคมอย่างแท้จริง
หลายคนถามเราว่า แล้วโรงเรียนเราสอบ NT หรือ O-Net , A-Net หรือเปล่า?
เรายังคงต้องสอบ เพราะเป็นระเบียบของทางราชการ ในฐานะรัฐยังจำเป็นต้องรู้โดยภาพรวมว่าคุณภาพการศึกษาเป็นเช่นใด และวิธิสอบก็เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดกับนักเรียนจำนวนมากๆ แม้ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แต่ก็เป็นตัวเลขที่พอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมองเห็นภาพรวมได้บ้างเท่านั้น
ประเด็นสำคัญการประเมินตามสภาพจริง อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการสอบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับครู การประเมินแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้เรียน ทั้งในวันนี้ พรุ่งนี้ หรือสัปดาห์นี้ แล้วยังต้องคิดต่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะเชื่อมโยงกับมาตรฐานของกลุ่มสาระแต่ละกลุ่มอย่างไร หรือ ตรงไหน และครูต้องออกแบบไว้ก่อนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าจะเป็นภาระงาน ชิ้นงาน วิธีการ หรืออื่น ๆ นั้นจะเชื่อมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระได้อย่างไร จะมีเกณฑ์ Rubric เข้าไปจับได้อย่างไร จับแล้วก็ตีค่าออกมาเพื่อให้ระดับอย่างไร ทั้งนี้เรามุ่งเน้นเพื่อให้เกิดการพัฒนา แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่ลืมว่าจะต้องให้เด็กที่เรียนอยู่เทียบโอนได้ เพราะฉะนั้นพอสิ้นปีครูก็ต้องนำคะแนนของแต่ละวิชาหรือแต่กลุ่มสาระ แต่ละมาตรฐานจะมีอยู่แล้ว มาตัดเกรด ให้ผู้เรียนึ้นนั้นยังต้องางเท่านั้น คุณภาพการศึกษาเป็นเช่นใด และวิธิสอบก็เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดกับนักเรียนจำนวนมากๆ เพื่อให้สามารถเทียบโอนกับโรงเรียนอื่นๆ ได้

** ผมเคยให้ผู้เข้าอบรมหลายๆ คนยกขวดน้ำแล้วผมถามว่า “คิดว่าขวดน้ำ หนักหรือเบา” ทุกคนกลับตอบคำถามและให้เหตุผลประกอบไม่เหมือนกัน
โปรดระวังเสมอเพราะการประเมินมัก error ทั้งเครื่องมือ และ ตัวผู้วัด

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การบ้าน

ผู้ปกครองบางคนกลุ้มใจที่ลูกไม่อยากทำการบ้าน


ครูหลายคนหนักใจที่นักเรียนไม่ทำการบ้านมาส่ง

ให้การบ้านเพื่ออะไร?

ด้วยครูหวังว่าการบ้านจะช่วยเพิ่มพูนทักษะหรือให้ผู้เรียนความเข้าใจเนื้อหานั้นมากยิ่งขึ้น แต่ความจริงเราหวังอะไรไม่ได้มากหรอกจากจุดประสงค์ข้อนี้ ส่วนหนึ่งเด็กทำส่งเพราะไม่อยากเผชิญความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นระหว่างเขากับครู (ทั้งภาพพจน์ คะแนน การลงโทษ หรือ อื่นๆ) บางคนทำการบ้านส่งเพราะสายตาของพ่อแม่ที่เฝ้ามองเขาด้วยความคาดหวังที่สูงริบริ่ว แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดเด็กๆ ล้วนแต่ไม่ชอบการบ้าน

โรงเรียนนอกกะลา เราให้การบ้านเด็กๆ เพราะอยากปลูกฝักความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในฐานะที่เป็นนักเรียนเป็นเป้าหมายหลัก ส่วนการเพิ่มพูนทักษะหรือความเข้าใจต่อเนื้อหาเป็นเป้าหมายรองลงไป

การให้การ การบ้านทุกวิชาร่วมกันเด็กควรใช้เวลาทำประมาณ 30 นาที ควรให้อย่างสม่ำเสมอทุกวัน และครูจะต้องตรวจการบ้านของทุกคนและทุกครั้งที่เด็กทำ

นอกจากความรับผิดชอบแล้ว การบ้านยังให้คุณค่าในเรื่องการไตร่ตรอง หรือใคร่ครวญด้านใน ให้เด็กได้มีเวลาอยู่กับตัวเองขณะที่ทำการบ้าน

**โรงเรียนเราเคยเจอบางเหตุการณ์ คือ มีเด็กคนหนึ่งที่ไม่ยอมส่งการบ้านอยู่เป็นสัปดาห์ ตอนแรกเรารู้สึกกังวล แต่เมื่อถามผู้ปกครองก็ได้คำตอบว่า เห็นหลานของตนเองทำการบ้านทุกวันและแต่ละวันนั่งอยู่ที่นั่นเป็นชั่วโมง เมื่อรู้อย่างนั้นบวกกับที่รู้จักประวัติเขาที่ประสบปัญหาทางครอบครัว เราก็รู้สึกสบายใจขึ้น แม้เขาไม่ได้มีการบ้านมาส่งในช่วหนึ่งสัปดาห์ แต่เด็กคนนี้ กลับได้ผ่านประสบการณ์ด้านในมากกว่าคนอื่นๆ จนขจัดความคับข้องนั้นออกไปได้ด้วยตัวเอง และยังเพิ่งความแข็งแกร่งด้านในยิ่งขึ้น

เมื่อจิตใจเขาเข้าที่ ครูที่เป็นกัลญาณมิตรก็ปลอบประโลมเขาโดยให้ทำการบ้านที่ค้างทั้งหมดส่ง เพื่อให้เขารู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง ที่ได้รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

The school that sets its own course



HEADLINE MAKER

The school that sets its own course

Meet Wichien Chaiyabang, headmaster of a school that really stands out in this country - no strict curriculum, no exams and, despite producing some of the best national results in science, no science course.


Wichien, 41, graduated from Rajabhat Maha Sarakham University with a teaching degree and spent 10 years teaching in the civil service. But despite his best efforts to improve things, it was "like being in a very big pond" and he was never able to raise a ripple.
His belief that there's a better way was restored soon after he became headmaster of Buri Ram's Lamplaimat Pattana School when it opened eight years ago. He chose the right strings to pull and the results came fast.
"It's just a small school, but it's having an impact elsewhere," Wichien says with modest understatement. More than 20 state schools are now following its example.
In 2006 the University of Tasmania ranked it as "world class". The following year its students sailed through the Office for National Education Standards and Quality Assessment with "excellent marks" under 13 criteria.
Lamplaimat Pattana School's founders, the Population and Community Development Association and the James Clark Foundation, envisioned it as a model for schools where rural children could receive a solid education and learn to be good members of society.
"Compared with students at rural state schools, ours are really full of confidence, determination and tenderness," Wichien says.
Lamplaimat Pattana holds no exams, he notes. "I don't believe multiplec-hoice exams can identify which children are smart."
The lack of testing hasn't stopped the youngsters from doing exceptionally well on national examinations. They routinely score higher than average in the Thai language, math and science.
"Actually, we don't even have a science course," Wichien says.
There is no strict curriculum and no purposemade textbooks. No bells ring to signal the end of classes.
"Our class time is based on short lessons," Wichien explains. In learning Thai grammar, for example, the students are told a story and then quizzed about it, thus honing their ability to memorise, understand and analyse.
"We'll ask them what they would do if they were in such a situation," Wichien says. "That's how they learn how to apply what they've learned."
From there, the teacher might move on to any other related subject, such as design.
"The students could be asked to design a setting for the story. And to further stimulate their imagination, they could be asked to suggest different endings for the story."
Wichien says all of the school's teachers are committed to maintaining a happy learning environment with "no coercion".
They're required to treat their students the way they wanted to be treated when they were children, and to show love and respect.
"Good relationships can be very useful!" Wichien says.
"They have to see the students' good points and boost their potential. They must not let a single student fail."
Every Monday evening the teachers meet to compare notes on the previous week and plan for the next.
Wichien admits he tries to push the teachers beyond their comfort zones so that greater achievements become possible.
"We've also involved the parents and others in the local community. We want them to know they have a responsibility to the school as well."
Parents are regularly invited to conduct classes.
"They can tell a story or teach the kids how to cook something, but they must come, so that they get to know their children's friends," Wichien says.
The parents, he says, at first wanted to see their children learn to read and write in the conventional way, believing it was essential to gaining admission to a prestigious school and a brighter future.
"But over the years their attitude has changed. They've come to understand that Lamplaimat Pattana teaches their children to be good people and efficient problemsolvers. Their children will be able to live a good life."
Satisfied at having made a difference in education, Wichien is thinking about retiring from the school after two more years to pursue his dream of writing.

"I want to spend the rest of my life writing," he says. "I believe books have a significant impact on people's lives. I want to write fulltime in the hope that my books will expand the readers' horizon and offer them good alternatives in life."

http://www.nationmultimedia.com/2009/10/11/opinion/opinion_30114211.php

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ไบโอ-โซฮอล์กู้ชาติ ไอเดีย ป.5 โรงเรียนนอกกะลา

โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา หรือที่หลายคนเรียกว่า "โรงเรียนนอกกะลา" ตั้งอยู่บ้านกวางงอย ต.โคกกลาง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดของนายมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนที่ต้องการให้มีโรงเรียนที่เป็นแบบอย่างในการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนสร้างเยาวชนให้เป็นพลเมืองดีของประเทศ

ทั้งเพื่อให้เด็กในชนบทมีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดีมีคุณภาพทัดเทียมกับเด็ก ในชุมชนเมือง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของนายเจมส์ คลาร์ค ชาวอังกฤษผู้ซึ่งได้มีโอกาสสัมผัสกับระบบการศึกษาไทยในชนบทอย่างใกล้ชิด และได้ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาทางสมาคมมาตั้งแต่ปี 2541 โดยมูลนิธิเจมส์ คลาร์ค แห่งประเทศอังกฤษจึงได้ลงนามความร่วมมือในการสนับสนุนงบประมาณก่อตั้ง โรงเรียนแห่งนี้ในวันที่ 8 สิงหาคม 2544 ทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 มิถุนายน 2546

ปัจจุบันโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 มีนักเรียนอยู่ 243 คน ครู 23 คน สำหรับโครงงาน "ไบโอ-โซฮอล์กู้ชาติ" เกิดจาก "ไอเดีย" ของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับพลังงานทดแทน เนื่องจากเด็กได้เล็งเห็นว่าปัจจุบันประสบปัญหาภาวะโลกร้อนและราคาน้ำมันที่ ปรับตัวสูงขึ้น จึงอยากมีส่วนร่วมในการลดโลกร้อนและผลิตน้ำมันใช้เองในครัวเรือนเพื่อลดค่า ใช้จ่าย จึงได้ร่วมกันไปค้นคว้าหาข้อมูลในการทำไบโอดีเซล ทั้งจากอินเทอร์เน็ตและห้องสมุด

จากนั้นก็ได้นำข้อมูลมาเสนอครูจีรดา ตุพิมาย ครูประจำชั้น ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลและให้คำปรึกษาแก่เด็กนักเรียน โดยวิธีและขั้นตอนการผลิตไบโอดีเซล นักเรียนทุกคนต้องนำน้ำมันพืชที่ใช้แล้วมาจากบ้านคนละ 1 ขวด เพื่อให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วม จากนั้นก็นำน้ำมันดังกล่าวไปกรองโดยใช้ผ้าขาวบางเพื่อแยกเศษอาหารที่ยังตก ค้างอยู่ในน้ำมัน หลังจากกรองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำน้ำมันมาต้มกับน้ำในสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นการทำความสะอาดน้ำมัน แล้วทิ้งไว้ 1 คืนเพื่อให้น้ำมันและน้ำแยกชั้นกัน แล้วนำมาแยกน้ำมันและน้ำออก โดยการค่อยๆ กรองและรินช้าๆ หลังจากแยกน้ำมันและน้ำออกจากกันแล้วให้นำน้ำมันไปต้มอีกครั้งในอุณหภูมิ ประมาณ 60 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้น้ำมันระเหย

ต่อจากนั้นก็ผสมสารในสัดส่วนแอลกอฮอล์ (เมทานอล 99.5%) 80 มิลลิลิตร ผสมกับโซดาไฟ 1 ช้อนชา และน้ำ 5 เปอร์เซ็นต์ ผสมส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันแล้วกรองลงขวด เขย่าประมาณ 15-20 นาที เติมน้ำอีก 5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อทำความสะอาดน้ำมันอีกครั้ง นำไปตากแดดไว้ 3 วัน ก่อนนำมาแยกกลีเซอรีนเพื่อให้ได้น้ำมันที่บริสุทธิ์ และต้องนำไปตากแดดทิ้งอีกไว้ 3 วัน แล้วนำมาทดสอบคุณภาพก่อนจะนำไปใช้งาน

น.ส.จีรดา ตุพิมาย ครูประจำชั้น กล่าวว่า การทำไบโอดีเซลของเด็กนักเรียนชั้น ป.5 เป็นโปรเจ็กต์หนึ่งในวิชาเรียนเกี่ยวกับด้านพลังงาน ประกอบกับนักเรียนได้เล็งเห็นว่าปัจจุบันภาวะโลกร้อนขึ้นและราคาน้ำมันแพง อีกทั้งนักเรียนยังเล็งเห็นว่าที่บ้านและที่โรงเรียนมีน้ำมันที่ใช้แล้วน่า จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงเกิดแนวคิดต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และได้ช่วยกันไปค้นหาข้อมูลการทำไบโอดีเซล ซึ่งเป็นพลังงานทดแทนจากอินเทอร์เน็ตและห้องสมุด จนได้หัวข้อโครงงานว่า "ไบโอ-โซฮอล์กู้ชาติ" จากนั้นก็ได้ร่วมกันทำและทดสอบจนประสบผลสำเร็จสามารถนำไปใช้กับเครื่องยนต์ ได้จริง

ด.ญ.พิมพกานต์ ศิริ นักเรียนชั้น ป.5 กล่าวว่า การทำไบโอดีเซลดังกล่าวนอกจากจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีขั้นตอนการทำอย่าง ถูกต้องแล้ว ยังสามารถนำความรู้กลับไปทำใช้เองที่บ้าน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและลดภาวะโลกร้อนช่วยชาติได้ในอีกทางหนึ่ง ด้วย

ด้านนายวิเชียร ไชยบัง ผู้อำนวยการโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา กล่าวว่า แนวทางการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนจะเน้นบูรณาการเรียนการสอนโดยใช้โครง งานเป็นฐานการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยครูทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรแนะนำส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความ สุขในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม ได้คิดและลงมือปฏิบัติในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างเต็มศักยภาพ ฟูมฟักความมีคุณธรรม ปลูกฝังมีวินัยตั้งแต่ยังเยาว์

ข่าวภูมิภาค ขอบคุณเทปรายการรู้ค่าพลังงาน/ช่อง 3

ขวัญชัย หาญประโคน รายงาน

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Unconventional schooling for endless learning





Wichien Chaiyabang

With discarded boxes and their relatively poor but enthusiastic acting, Grade 4 students of Lamplaimat Pattana School ably demonstrated how electricity is generated.

When questions were asked, a number of Grade 2 students in their audience raised their hands to answer. Though uncertain of the answers, the youngsters did not hesitate to participate in the "Share and Show" period, designed to disseminate ones' knowledge to others.

"We believe that it's best to have students share their knowledge. The younger ones may not know this. If the older ones want to share, the younger are all ready to learn and we will skip the scheduled discussion for this show," said Sirikarn Inpitak , Grade 2 teacher.

The students' enthusiasm was extraordinary and well exemplified the school's revolutionary philosophy: the learning process is more important than teaching methods, to ensure learning sustainability.

At the private school, established by the Population and Community Development Association (PDA) and the James Clark Foundation, the big classroom where students recite teachers' words without understanding them does not exist. At this school, the world of knowledge is open to all and all should be supported to reach their full potential. As such, students' thirst for knowledge comes first. Taken as humans who need guidance to get their desired knowledge, the students make a decision with teachers about a single subject to be studied in a 10week semester without any textbooks. And included in the curriculum are courses designed for the unprejudiced learning of the world around them like fishing and rice growing.

Everyday, the 230 students, all livฌing in a 40km radius and enrolled under a draw, start the day with meditation to draw their attention to activities like writing, skills learning, digital research, and art and music. In whatever they do, the students get no scores to avoid comparison at the end of semesters. There is no test, as the school adopts a new educational paradigm whereby students learn that everyone is equal and can be a great person, and that learning is not just for life but learning is life. Homework is given in small volume only to ensure their responsibility.

Doubts emerged as to how stuฌdents would fare in national tests with the unconventional teaching method.

"Our students' ONet (ordinary national education test for Grade 6 students) score is 10 points above the national average," said the principal, Wichien Chaiyabang.

"We don't take government tests seriously, though. Testing is just one of 10 evaluation methods. Students fail in a test but they may prosper in unknown areas.

"Our goal here is to show all that this demonstration school can create better students than public schools at relatively similar budgets. From this small school, we aim to create a butterfly effect. I believe that this will influence both students and teachers."

Against Bt700,000 per head per year at international schools, the average cost of this school is Bt36,000.

Wichien did not hide the fact that it is extremely difficult to achieve the school's goals.

It starts with teachers who must share the goal. Only 16 teachers were selected from 700 applicants, and they are hired regardless of grades as their view of life, enthusiasm, and experience matter more.

"Grades are nothing. It's sad that people can graduate whenever they pay the tuition fees," the principal said.

Teachers must treat students fairly and promote their best talents. They must fail no student, as all should have positive selfesteem and keep improving themselves. To keep the goal intact, the teachers are required to attend a weekly meeting, which can be chaired by any of them. At the meeting, they share their experiences, so that good solutions can be adopted by others.

New teachers must work under existing teachers' care, and after a year of training they are ready to teach the students, 70 per cent of whom are the children of local farmers.

The school was evaluated by the University of Tasmania in Australia, which found that its efficient teaching and learning method was at the same level as international schools. Throughout six 6 years, the school has welcomed a number of visitors, local and foreign, including Prime Minister Abhisit and former PM Thaksin Shinawatra. About 1,000 teachers come to the school for training every year.

But in its seventh year, the James Clark Foundation has stopped its funding and the school has had to raise their own funds. Aside from donations and a school shop which for three years has sold over 10,000 school Tshirts, the company that owns the school has a publishing house. With 10 items in the market now, the publishing house plans to make available about 3040 teaching patterns.

Despite the hard work, the principal is pleased with the result.

"I'm extremely happy, observing the children's talks and their presentations. The school will never charge tuition fees. [Despite the financial hurdles], we will stay. We can, with quality products."
http://www.nationmultimedia.com/2009/09/28/national/national_30113173.php#



ครูที่ดี ไม่ปล่อยเด็กล้มเหลว

วิเชียร ไชยบัง ครูที่ดี ไม่ปล่อยเด็กล้มเหลว

เขาบอกหลายคนว่า “ถ้าเป็นครูที่ดีไม่ได้ ก็ไปทำอาชีพอื่น” ไม่ใช่คำพูดที่หยิ่งทระนง เพื่อแสดงว่าตัวเองเก่ง แต่เขาคิดแล้วทำ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ทำไมต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ช่วงที่เขาเดินไปสมัครเป็นครูใหญ่ตอนที่คุณมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน ริเริ่มทำระบบการเรียนการสอนแนวใหม่ในชนบท
เมื่อเขาถูกเลือกให้ทำงานนี้ เขาบอกว่า “ถ้าผมทำไม่สำเร็จ ไล่ผมออกได้เลย”
เขามีอิสระในการวางแนวทางตั้งแต่โรงเรียนยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่า โดยได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากเจมส์ คลาร์ก ชาวอังกฤษ ประกอบแนวคิดของคุณมีชัย
คนที่เรากล่าวถึงคือ วิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ (โรงเรียนนอกกะลา) ผู้ปลุกปั้นโรงเรียนแห่งนี้ เขาให้เด็กเรียนรู้ตามศักยภาพตัวเอง และต้องคิดเป็น โดยมีกระบวนการสอนไม่เหมือนใคร
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กชนบทยากจน ไม่เก็บค่าเล่าเรียน เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงประถม กำลังจะเปิดระดับมัธยม และนี่คือโรงเรียนแนวคิดใหม่ที่คนในวงการศึกษาให้ความสนใจ และมีหลายโรงเรียนนำแนวคิดนี้ไปใช้
แม้จะคล้ายกับโรงเรียนทางเลือก แต่ให้โอกาสเด็กชนบท และแสดงให้เห็นว่า พวกเขามีความสามารถไม่แพ้เด็กเมือง
ข้อ สำคัญเด็กๆ ครูและผู้ปกครองมีความสุข เพราะที่นี่ไม่มีการสอบ ไม่มีเสียงระฆัง ไม่มีดาวให้นักเรียน ไม่มีแบบเรียน ไม่ต้องยืนฟังครูบ่นหน้าเสาธง เด็กๆ มีสิทธิออกแบบชุดนักเรียนเอง และมีวิธีการรับสมัครครูไม่เหมือนใคร ถ้าคุณอยากเป็นครูคณิตศาสตร์ ครูใหญ่อาจถามคุณว่า ลองหารยาวจนข้างหลังมาข้างหน้า...
ทั้งหมดมาจากแนวคิดครูใหญ่วิเชียร เขาเคยเป็นครูโรงเรียนรัฐบาล 5 ปี ผู้บริหารโรงเรียนรัฐหลายแห่งนาน 5 ปี และเป็นนักเขียนที่มีผลงานหลายเล่ม อาทิเช่น ปลาดาวบนชายหาด และสายลมกับทุ่งหญ้า (ได้รางวัลในปีนี้) ฯลฯ
เพราะที่นี่ให้โอกาสเขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คือการสร้างคน...
โรงเรียนเป็นรูปเป็นร่างและได้รับการยอมรับ รวมถึงมีคนมาดูงานมากมาย ครูใหญ่ตั้งเป้าหมายต่อไปอย่างไร
ย่างปีที่ 7 เรากำลังจะทำระดับมัธยม เคยมีคนสมัครเป็นครู 700 คนรับแค่ 5 คนและพบว่า แม้จะรับคนยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ก็ต้องพัฒนาต่ออีกหนึ่งปี ทั้งเรื่องท่าที คำพูด ความเข้าใจ และเป้าหมายร่วมกัน แต่ก็คุ้มกับความสามารถการเป็นครู วัตถุประสงค์โรงเรียนมีข้อเดียวคือ เราอยากให้โรงเรียนชนบทกว่าสามหมื่นแห่งมาเรียนรู้และนำไปใช้ ปีที่แล้วมีครูและผู้บริหารมาเรียนรู้กว่า 5,000 คน ปีนี้ยังไม่ถึงสิ้นปีมีประมาณ 3,000 คน ตอนนี้ระดับกระทรวงรู้จักโรงเรียนเรา
เป็นความคาดหวังที่สูงเกินไปหรือเปล่า
มี 20 โรงเรียนในภาคอีสานกำลังทำตามแบบโรงเรียนเรา และมีครูจำนวนมากอยากทำแบบนี้ แม้บางคนจะบอกว่า ทำไม่ได้หรอก
กับแนวคิดครูนอกกะลา ทำให้เกิดการพัฒนาเด็กอย่างไรคะ
จากเด็กสภาพจิตใจย่ำแย่ กลายเป็นเด็กที่รู้ว่า ชีวิตตัวเองมีความหมาย เราทำงานด้วยหัวใจ ไม่ได้มีทฤษฎีตั้งไว้ก่อน แต่เรียนรู้ที่จะทำ ผมมั่นใจว่า เด็กที่เรียนจากระบบตรงนี้ ต่อไปจะมีเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการดำเนินชีวิต หาคำตอบจากสิ่งที่เราควรหา
โรงเรียนผ่านเกณฑ์มาตรฐานระดับไหนคะ
สิ่งที่ผมคิด ถ้าใช้ไม่ได้ มันจะไม่มีประโยชน์เลย เราไม่ได้ต้องการทำเพื่อโชว์หรือทำให้ได้รางวัลดีเด่น กระบวนการต่างๆ ที่โรงเรียนทั่วไปทำ เราต้องให้เขาเชื่อด้วย สำนักงานประเมินและรับรองมาตรฐานการศึกษา เคยประเมินให้ผ่านในระดับดีมาก และกระบวนการเรียนรู้ของเราเป็นสากล เด็กที่นี่ ไม่มีใครอ่านออกเขียนไม่ได้ ยกเว้นเด็กอนุบาลหกสิบคน
นั่นเป็นความสำเร็จ ส่วนวิธีการเรียนการสอน โรงเรียนไม่มีเสียงระฆัง แล้วเด็กจะรู้เวลาได้อย่างไรคะ
ต้องให้เด็กเกิดวินัยเชิงลึก วิถีปฏิบัติที่มั่นคง เด็กอนุบาลที่นี่ดูนาฬิกาเป็น พวกเขาเรียก 'พี่นาฬิกา' เขาจะเรียกทุกอย่างว่า 'พี่' อาทิ 'พี่แก้วน้ำ' กิจวัตรจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องมีระฆัง เด็กที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเด็กชนบท เป็นลูกชาวนา มีเด็ก 40 คนเป็นเด็กกำพร้า เด็กคนหนึ่งไอคิวต่ำ และคนหนึ่งพิการ ทุกคนเข้ามาด้วยการจับสลาก เราต้องการให้เขาประสบความสำเร็จตามศักยภาพของเขา ทุกคนจะได้รับคุณค่าเท่าเทียมกัน
ครูไม่ให้ดาวเด็กอนุบาลกลับไปอวดพ่อแม่ เพราะอะไรคะ
การไม่ให้ดาว เพราะเด็กจะมีค่าเท่ากัน หากให้เด็กอนุบาลวาดรูปคน บางคนวาดไม่เป็นรูป แค่วงกลม เด็กได้ใช้ศักยภาพเต็มที่แล้ว ถ้าเขาถูกตราหน้าว่า ไอ้หนึ่งดาว เขาจะเก็บตรงนั้นไว้ ไม่อยากเล่าให้แม่ฟัง ไม่อยากมาโรงเรียน เพราะเขารู้สึกว่า ไม่ได้รับคุณค่า ไม่ได้รับความรัก
เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการอบรมหน้าเสาธง ?
ผมคิดว่าการอบรมหน้าเสาธงไม่เหมาะกับการเรียนรู้ ที่นี่ไม่มีการจัดลำดับความสามารถของนักเรียน ทุกคนยอดเยี่ยมหมด ครูจะสอนด้วยเสียงเบาๆ ถ้ามีเด็กหลังห้องไม่ฟังครู ทั้งๆ ที่ครูสามารถจัดการได้ แต่เราไม่ทำ เราจะเรียกเด็กทุกคนว่า 'พี่' เหมือนเด็กๆ เรียกทุกอย่างว่า 'พี่' ถ้าในห้องเรียนเสียงดัง เราก็บอกว่า ขอบคุณพี่โก้ที่เรียบร้อย ขอบคุณพี่กี้ยอดเยี่ยมมาก สักพักจะเงียบ เราก็จะบอกว่า ขอบคุณพี่ๆ หลังห้อง จากนั้นตัดสู่การสอน 15 นาที เราจะให้งานกับเด็กที่เรียนเก่ง เรียนอ่อน ไม่เหมือนกัน เด็กบางคนต้องการงานที่ท้าทาย เด็กทุกคนต้องลงมือทำ ที่นี่จะมีชิ้นงานให้ทำเยอะมาก ที่สำคัญคือ ครูต้องชวนให้เด็กคิดเอง
รวมถึงไม่ใช้แบบเรียนด้วย ?
ไม่ใช้จริงๆ เพราะเราเชื่อเรื่องการพับกระต่าย ความสำคัญของตัวความรู้แต่ละคนไม่เหมือนกัน เวลาเปิดเรียนมา ครูจะถามเด็กว่า อยากเรียนอะไร เรามีวิธีการเชิงเทคนิคอีกเยอะ
วิธีคิดเรื่องการพับกระต่ายเกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาอย่างไรคะ
ผมเคยแบ่งครูออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้ครูพับกบ มีครูคนหนึ่งเคยพับ รุ่นพี่รุ่นน้องจึงพับกบเหมือนกันทุกคน ส่วนอีกกลุ่มให้พับกระต่าย ไม่มีเสียงฮือเหมือนกลุ่มแรก เพราะไม่มีใครรู้วิธีพับกระต่าย พวกเขามองหน้ากัน ผมก็กระตุ้นให้พับ ปรากฏว่า เป็นกระต่ายคนละแบบไม่เหมือนกัน
เรื่องการพับกระต่ายทำให้ผมนึกถึงการปฏิรูปการศึกษา ผมไปเปิดดูหนังสือเรียนแปดเล่มของหลานดู ปรากฏว่า ทุกวิชามีองค์ประกอบคล้ายกัน ห้าหน้าแรกเรียนเรื่องความรู้ หน้าต่อไปเป็นแบบฝึกหัดและสุดท้ายเป็นเฉลี่ยคำตอบ เป็นบทเรียนสำเร็จรูปเหมือนกันทุกเล่ม ผมเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจมาก เหมือนครูกลุ่มแรกที่ผมให้พับกบ ทุกคนทำได้เหมือนกับสิ่งที่ตัวเองมี แต่น้อยคนที่จะได้โอกาสใหม่ๆ
เล่าชีวิตประจำวันของครูกับเด็กให้ฟังสักนิด ?
หน้าที่สำคัญของครูคือ เล่นกับเด็ก ผมเชื่อ ว่าไม่มีใครสอนคนได้ดีเท่ากับคน จังหวะการสอนที่ดีคือการเล่น วิธีการมีเยอะ เด็กอนุบาลไม่มีการนั่งสมาธิ จะมีเรื่องเล่า มีการเตรียมสมองให้ผ่อนคลาย เด็กทุกคนจะเรียนรู้อำนาจในการเลือกเรียน เด็กประถมห้าเรียนเรื่องไบโอดีเซล ปีนี้เขาทำธุรกิจตัวเอง ซื้อน้ำมันเก่าสิบบาทมาทำไบโอดีเซลขายยี่สิบบาท แต่คุณครูต้องไว้ใจเรียนรู้ร่วมกัน และที่นี่ให้โอกาสเด็กๆ ออกแบบชุดนักเรียนเอง
มีเด็กคนหนึ่งเกเรและก้าวร้าวมาก เราจะไม่ผลักไสเด็กไปเรียนที่อื่น เราคิดว่าเด็กคนนี้ต้องเรียนที่นี่ เด็กคนนี้ชอบเล่นมายากล เด็กอยากเรียนเราก็สอนให้ เขาไปเล่นมายากลให้น้องๆ อนุบาลดู น้องๆ ชอบมาก แค่นี้เราก็รู้สึกปลอดภัยแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสังคมไหน เขามีคุณค่า เราเห็นความงอกงามของเด็กแต่ละคน ผมมีความสุขมาก
เวลาเด็กทำผิด มีวิธีการลงโทษอย่างไรคะ
การลงโทษเด็ก เราจะให้เด็กรู้ว่า “อย่าทำ...เราไม่ชอบ” เป็นการบอกความรู้สึก เวลาเด็กทะเลาะกัน เราบอกให้ไปบอกเพื่อนว่า ถ้าคนอื่นทำแบบนี้กับเรา เราชอบไหม เด็กบอกว่า ไม่ชอบ ครูโยงให้เขาคิดเอง ถ้าคิดไม่ได้ครูจะช่วย หรือเด็กคนหนึ่งเตะบอลโดนกระจกแตก เราก็ถามเด็กว่า "จะแก้ปัญหานี้อย่างไร "เด็กตอบว่า "จะซื้อคืนให้" เราถามต่อว่า "เอาเงินมาจากไหน" เด็กบอกว่า"จากคุณพ่อ" เราก็บอกว่า "พ่อไม่ได้ทำผิด แล้วจะลงโทษพ่อได้อย่างไร" เด็กก็ถามว่า "ครูมีทางเลือกให้ผมไหม" ผมให้ครูอีกคนตีราคากระจก แล้วบอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องทำงานปลูกต้นกล้วยวันละกี่ต้นได้ยี่สิบบาท ล้างจานให้เพื่อนทั้งหมดได้วันละสามสิบบาท ลองไปคิดว่า จะทำอย่างไร เราก็ปล่อยให้เขาทำ จากนั้นแค่ไปดูว่าเด็กทำไหม
เคยมีคนในวงการศึกษาเข้ามาเรียนรู้ บางคนบอกว่าทำตามแนวทางนี้ไม่ได้หรอก ครูตอบโจทย์เรื่องนี้อย่างไรคะ
ผมก็ส่งครูผมออกไปทำให้ดูในโรงเรียนนั้น แล้วมาบอกว่าทำได้ ข้อสำคัญคือการจัดการกับผู้ปกครอง
ทำความเข้าใจกับผู้ปกครองอย่างไรคะ ?
แรกๆ ผู้ปกครองเด็กอนุบาลคาดหวังว่า เด็กต้องเขียนตามรอยปะได้ ผมจึงต้องวางหลักสูตรในการจัดการผู้ปกครอง พอเข้าปีที่หกผู้ปกครองทุกคนเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่ง มองเห็นเป้าหมายใหม่ มั่นใจในสิ่งที่เราทำ เชื่อมั่นว่า เด็กจะเป็นนักจัดการ บางครั้งให้ผู้ปกครองมาเรียนเหมือนเด็ก ถ้าผู้ปกครองคนไหนขาดเรียนไม่มา ต้องมาเรียนซ่อมคนเดียวให้ครบ ไม่มีใครไม่มา เพราะเราเอาจริง
ถ้าผู้ปกครองร่วมมือกับเรา ก็จะพัฒนาเด็กได้ดี เราย้ำเสมอว่า ทุกคนจะต้องตาย และคนที่เหลืออยู่คือ เพื่อนของลูก เขาต้องใช้ชีวิตต่อไป ดังนั้นทุกๆ วันจะมีผู้ปกครองเข้ามาวันละสามสี่คน บางคนมาเล่านิทาน บางคนมาช่วยทำกับข้าว คุณยายสามคนเคยเดินมาสามกิโลเพื่อมาเล่าให้ผมฟังว่า หลานไม่อยากไปเรียนที่อื่น เพราะพ่อแม่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น ผมก็เอาทั้งพ่อและยายมาคุยกัน
ย้อนไปที่คำถามว่า ถ้าโรงเรียนในระบบจะทำตามแนวทางนี้ คุณครูคิดว่าทำได้ไหม
นี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการพิสูจน์ ถ้าผมทำออกมาได้ ทำไมคนอื่นจะทำไม่ได้ เพราะทุกคนมีหัวใจ แต่ครูส่วนใหญ่ใช้แต่เทคโนโลยี ไม่มีหัวใจเลย ถ้าเรามีหัวใจ มันยกระดับคนได้อีกหลายสิบเท่า
ย้อนไปถึงเบื้องหลังความคิด ทำไมอยากเป็นครูใหญ่ที่นี่
ช่วงที่ผมเป็นผู้บริหารโรงเรียน หรือเป็นครู ผมรู้คำตอบแล้ว ไม่นานผมก็เกษียณ เป็นครูแก่ๆ ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่มาตรงนี้ผมไม่รู้คำตอบ มีคำตอบมากมายรอผมอยู่ มันท้าทาย เมื่อเขารับผม ผมก็ตัดสินใจลาออกเลย มาทำงานปีแรก (ปี 2545) มีเพียงที่ดินว่างเปล่า ก็อยู่คนเดียวตามร่มไม้ สิ่งที่คิดครั้งแรกคือ ต้องมีครูที่ดีเป็นตัวอย่าง เป็นโจทย์ใหญ่ที่ผมคิดทั้งปี ผมได้อิสระในการทำงานเต็มที่ ปลายปีนั้นผมรับครูมา 6 คน รูปแบบและคำตอบของเราก็ยังไม่ชัด ปีแรกเราถูกทั้งสังคม ครอบครัว ผู้ปกครอง และผู้บริหารอัดเรา เพราะเราไม่มีคำตอบให้สังคม
ถ้าคำตอบไม่เป็นอย่างที่คุณคิด ?
ไม่เป็นไร ผมเดิมพันด้วยชีวิตแล้ว ผมยอมรับได้
เดิมพันด้วยชีวิตอย่างไรคะ
ที่เขารับผมเป็นครูใหญ่ เขามองวิชั่นผม ผมบอกว่า ผมอยากเปลี่ยนแปลงการศึกษาจุดเล็กๆ ต้องเปลี่ยนแปลงได้จริง ผมมองว่า ในระบบการศึกษา ทุกคนมีคุณค่า ไม่ใช่ว่าเด็กคนเก่งที่สุดถึงมีค่า ผมบอกว่า ผมจะทำที่นี่ให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จไล่ผมออกได้ตลอดเวลา เขาให้อิสระผมในการทำ ผมตั้งใจไว้ว่าจะทำแค่ 5 ปี นี่เข้าปีที่ 7 แล้ว ไม่ใช่หลงเสน่ห์นะครับ แต่มีงานบางอย่างยึดโยงอยู่ หาคนแทนไม่ได้ ต้องรอสักพัก จากนั้นผมจะออกไปเขียนหนังสือและเดินทาง เพราะเขียนหนังสือมีอิทธิพลต่อคนจำนวนมาก
แรงบันดาลใจอะไรทำให้อยากเป็นครูที่สร้างเด็กให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
กว่าสิบปีที่เป็นครูในระบบ ผมจะไม่โอดครวญกับระบบ ผมไม่บ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมทำให้เห็นเลย ถ้าผมไม่มุ่งมั่น ทุกคนก็จะไม่มุ่งมั่น ผมมีคำตอบอยู่ในใจ ถ้าผมไขว้เขว ทุกคนก็จะไขว้เขว
ตอนผมเป็นผู้บริหารโรงเรียนในระบบราชการ ผมรู้คำตอบว่า หลังอายุ 35 ปีผมเหลือเวลาอีก 35 ปี ผมเริ่มนับถอยหลัง เหมือนนักบอลเตะครึ่งหลังแล้วไม่ได้ประตู ผมเริ่มรู้แล้วว่า ผมยังไม่เจอคำตอบตัวเองเลย ผมยังไม่ได้ทำสิ่งที่ผมอยากทำ
ตอนนี้นับถอยหลังปีที่เจ็ดแล้ว ทำให้เรารู้สึกว่า เราวางอะไรได้ง่ายขึ้น เมื่อวางง่ายก็ทำอะไรได้เยอะ ผมมีวิถีชีวิตนอนสามทุ่มตื่นตีสาม เพราะผมมีเวลากับสิ่งที่ต้องทำอีกเยอะ
ข้อสำคัญเป้าหมายต้องชัดเจน ?
เพราะเป้าหมายมีความหมายต่อเรา ผมพบว่า ทุกคนหาตรงนั้น คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง ผมอยากทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงคนได้เยอะที่สุด การศึกษาต้องยกระดับคุณภาพชีวิต สำหรับผมสิ่งที่เหนือกว่านั้นคือ การเขียนหนังสือ เป็นการนำพาจิตวิญญาณผ่านอารมณ์ความรู้สึก ตอนนี้ผมเขียนเรื่องจิตวิทยาสำหรับการเรียนรู้เด็กผ่านนิยาย กำลังจะตีพิมพ์
ก่อนหน้านี้ครูครุ่นคิดเรื่องชีวิตอย่างมาก แล้วได้คำตอบไหมคะ
ผมก็พยายามหาคำตอบให้ชีวิตตามประสาคนวัยนั้น ช่วงอายุ 27 ปีกว่าพยายามอ่านหนังสือและศึกษาธรรมะ ทำทุกอย่างที่จะทำให้เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร
แล้วค้นพบไหมคะ
ไม่พบ มีแต่ความสับสน ยิ่งคิดยิ่งหมกมุ่น จนเกิดอาการเมิน นอนไม่หลับ บางทีอาจจะหลงทางก็ได้ ผมเกิดอาการหวาดระแวง ผมกลัวจนต้องกินยากล่อมประสาท สุดท้ายเหมือนจิตฟุ้ง
คำตอบเป็นอย่างไร
ผมพยายามจะหาคำตอบจากศาสนาพุทธ แต่พอวันหนึ่งผมตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่า ผมจะไม่ยึดติดเรื่องศาสนา เวลาผมกรอกในบัตรประชาชนช่องนับถือศาสนาอะไร ผมจะไม่กรอก ในที่สุดผมค้นพบคำตอบบางอย่าง แต่ผมตอบไม่ได้ ทุกคนจะรู้เองว่า อะไรคือที่ที่เราจะยืนอยู่
แสดงว่าคุณเจอคำตอบแล้ว ?
ผมคิดว่า ผมเจอ เพราะผมใคร่ครวญกับเรื่องชีวิตมานานกว่าสิบปี เห็นผู้คนต่างๆ ผมก็รู้ว่า ผมต้องการทำอะไร เพื่ออะไร
จากวงสนทนาที่นั่งคุยกัน คุณจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกคนอย่างมาก ?
ใช่ เพราะเป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ เราอยู่ได้เพราะความรู้สึก เรามีความสุขเพราะความรู้สึก เรารักเพราะความรู้สึก เหมือนที่ผมบอกว่า ถ้าเป็นครูที่ดีไม่ได้ เราจะไปทำอาชีพอื่น เป็นครูที่ดีก็ต้องรักเด็กทุกคน ไม่ปล่อยให้เด็กในห้องล้มเหลวแม้แต่คนเดียว ไม่ปล่อยเวลาสูญเปล่า
.......................................
หมายเหตุ : เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์และการประชุมจิตวิวัฒน์เมื่อเร็วๆ นี้
อิสระนอกกะลา
หากมีคนถามว่า อะไรทำให้ครูใหญ่คนนี้มีอิสระในความคิดและการดำเนินชีวิตเต็มที่ และมีเป้าหมายชัดเจนในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กๆ
เขาเล่าถึงชีวิตตัวเองว่า
"ตอนเกิดมา เกือบไม่รอด แม่ไม่มีนมให้กิน ผมอยู่กับตาตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นตาชงนมใส่ขันกรอกใส่ปากผม ผมใช้ชีวิตร่วมกับตาในท้องไร่ท้องนา พ่อแม่ไม่เคยมายุ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่ไม่รักนะ
แม้ผมจะคุยกับตาน้อย แต่ผมสัมผัสอารมณ์ได้ จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมนั่งอยู่นอกชาน มีต้นฝรั่งอยู่หน้าบ้าน ตาแค่บอกว่าให้ฟัง หลังจากตาตาย ผมก็ใช้ชีวิตแบบที่ผมอยากทำ ผมเป็นอิสระมาก ตัดสินใจด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก
ตอนผมเป็นผู้บริหารโรงเรียน ผมยังรู้สึกว่า ผมทำอะไรได้มากกว่านั้น น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก จนมาเป็นครูใหญ่ที่นี่ก็ค่อยๆ ทำไป ใช้เวลาแต่ละวันให้เต็มที่ ผมให้ความสำคัญกับทีมงานมาก"


โรงเรียนนอกกะลา จิตวิวัฒน์

จาก โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

โดย ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 15 สิงหาคม 2552

“เราทำไม่ได้หรอก” เป็นคำพูดที่คุณครูวิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ยินจากผู้มาดูงานเสมอๆ คุณครูเล่าว่า มีอยู่คราวหนึ่งที่ได้ยินคำนี้จากผู้มาดูงานถึงห้าครั้งในเวลาครึ่งชั่วโมง

เวทีจิตวิวัฒน์เดือนสิงหาคมได้รับเกียรติจากคุณครูวิเชียรมาเล่าเรื่อง โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ให้ฟัง โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนทางเลือกที่มีชื่อเสียง มีผู้บริหาร และคุณครูจากเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศไปดูงานมากมาย นำไปสู่คำถามท้าทายว่าจะสามารถทำโรงเรียนแบบลำปลายมาศในพื้นที่อื่นๆ ไม่ได้จริงหรือ

เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการสอบ

เป็นโรงเรียนที่ไม่มีเสียงออดเสียงระฆัง

เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการอบรมหน้าเสาธง

เป็นโรงเรียนที่ไม่มีแบบเรียนสำเร็จรูป

เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการให้ดาว

เหล่านี้คือประเด็นท้าทายระบบการศึกษา ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่าโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาคงเป็นโรงเรียนทางเลือก ที่เก็บค่าเล่าเรียนแพงๆ และนักเรียนมาจากครอบครัวคนชั้นกลางหรือผู้มีอันจะกิน แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ นักเรียนส่วนใหญ่ของโรงเรียนนี้จะมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนาในเขตจังหวัด บุรีรัมย์ เข้าได้ด้วยการจับฉลากเท่านั้น และไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ร้อยละ ๗๐ ยากจน อีกอย่างน้อย ๔๐ ครอบครัว เป็นเด็กกำพร้า มีเด็กสติปัญญาบกพร่องร่วมเรียนด้วย

นักเรียนโรงเรียนนี้ทำอะไรกัน มาตรฐานและคุณภาพเป็นอย่างไร คุณครูวิเชียรเล่าผลการประเมินภายนอกให้ฟังว่า สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ได้มาประเมินโรงเรียนแล้วพบว่า อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ๑๓ มาตรฐาน และอยู่ในเกณฑ์ดี ๑ มาตรฐาน ผลการสอบเอ็นที (National Test) พบว่าคะแนนเฉลี่ยด้านภาษาไทย คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของประเทศ ทั้งที่โรงเรียนไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “วิชาวิทยาศาสตร์”

คุณครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจะใส่ใจในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่นัก เรียนเป็นสำคัญ ให้นักเรียนได้เลือกทำในสิ่งที่ตนเองสนใจ เรียนรู้การวางแผน และลงมือทำจริง จากนั้นจึงนำผลงานมาแสดงและแลกเปลี่ยน ช่วยกันประเมินและเรียนรู้การวางแผนอีก เป็นวงจรเช่นนี้เรื่อยๆ ไป เป็นไปตามปรัชญาที่ว่าการเรียนรู้ที่แท้เกิดจากการลงมือทำจริง

“เมื่อเดือนก่อน ผมกลับไปเยี่ยมบ้าน พบหลานตัวเล็กเรียนอนุบาลที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง” คุณครูวิเชียรเปิดประเด็น “ไหนเอามาดูซิ เรียนอะไร” คุณครูพูดกับหลาน “หลานเขาค้นหนังสือมาให้ดู ๘ เล่มใหญ่ เป็นแบบเรียนสำเร็จรูปที่ทางโรงเรียนจัดให้ ๕ แผ่นแรกเป็นใบความรู้ อีกแผ่นเป็นแบบฝึกหัด แล้วอีกแผ่นเป็นข้อสอบ ทุกวิชาจะเป็นแบบแผนเช่นนี้เหมือนๆ กันหมด”

“พอกลับมาที่โรงเรียน ซึ่งเราจะมีวงพูดคุยกับครู ผมก็ลองแบ่งครูเป็นสองกลุ่ม แจกกระดาษให้ครูแต่ละคน” คุณครูวิเชียรเล่าต่อไป “กลุ่มหนึ่งให้พับกบ พวกเขาฮือฮาเพราะรู้ว่ามีวิธีพับกบอยู่ พวกเขาถกเถียงกัน แล้วมีครูคนหนึ่งบอกว่า หนูจำได้ หนูจะสอนให้ กลุ่มนี้เลยได้กบมาเหมือนๆ กันหมด” คุณครูวิเชียรว่า “อีกกลุ่มให้พับกระต่าย ไม่มีเสียงฮือเหมือนกลุ่มแรก เพราะพวกเขารู้ว่ายังไม่มีใครสอนวิธีพับกระต่าย พวกเขานิ่ง มองหน้ากัน แล้วลองทำดู ปรากฏว่าทุกคนพับได้กระต่าย ๑๐ ตัวที่ไม่เหมือนกันเลย”

เพราะไม่เคยมีใครพับกระต่ายมาก่อน ทุกคนจึงต้องค้นหาวิธีกันเอาเอง ด้วยวิธีนี้ครูแต่ละคนจึงเข้าใจกระบวนการเรียนรู้อย่างที่ควรจะเป็น

ผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่าเป็นไปได้หรือเปล่าที่พอคุณครูของโรงเรียนจัดกระบวน การเรียนรู้แบบนี้ไปนานๆ เข้า ก็จะเกิดอาการเริ่มรู้ทาง เริ่มรู้ว่าต้องทำอย่างไร เริ่มลัดขั้นตอน แล้วก็ละเลยกระบวนการหาคำตอบด้วยตนเองไปในที่สุด คล้ายๆ กับที่หลายแห่งเผชิญ เปรียบเสมือนรู้วิธีพับกบก็พับแต่กบตามวิธีที่เคยพับกันมา เพราะง่ายกว่า

คุณครูวิเชียรตอบว่า สิ่งที่เราต้องการให้ครูแม่นยำที่สุดคือกระบวนการ ไม่ใช่ความรู้ แล้วในขั้นตอนที่นักเรียนนำผลงานมาแสดงและแลกเปลี่ยนนั้น จะแลกเปลี่ยนสิ่งดีๆ ซึ่งกันและกัน ด้วยวิธีนี้การเรียนรู้จึงจะสดและใหม่อยู่เสมอ

นอกเหนือจากครูแล้วทางโรงเรียนยังต้องเอาชนะใจผู้ปกครองด้วย มีการร่างหลักสูตรเพื่อจัดการผู้ปกครองโดยเฉพาะ เพราะผู้ปกครองมักคาดหวังให้เด็กอ่านออกเขียนได้คัดไทยตามเส้นประโดยเร็ว

“โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีเส้นประ”

โรงเรียนมีชั่วโมงที่ผู้ปกครองจะเวียนกันมาสอนนักเรียน ที่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้เพราะครูใช้เวลาทำความเข้าใจกับผู้ปกครองว่าวัน หนึ่งพวกเราต้องตายจากไป ผู้ปกครองก็ต้องตาย ครูก็ตายด้วย ที่เหลืออยู่คือเพื่อนๆ ของลูกเรา การสอนเพื่อนลูกจึงเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยวิธีคิดแบบนี้ใครมีความรู้อะไรก็มาสอน ไม่รู้จะสอนอะไรก็มาทำกับข้าว หรือเล่านิทาน พอเวลาผ่านไปหลายปี ผู้ปกครองจะเริ่มเปลี่ยน ไม่คาดหวังลูกในเรื่องการสอบแข่งขัน แต่มั่นใจในสิ่งที่โรงเรียนทำ ว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ยั่งยืน เชื่อมั่นว่าเด็กสามารถจะอยู่และเป็นนักจัดการได้ และที่เห็นได้ด้วยตาแน่ๆ คือนักเรียนทุกคนเป็นคนดี ไม่เกเร เมื่อถึงวันไหว้ครู ผู้ปกครองจะเป็นผู้จัดงานให้และมาร่วมงานไหว้ครูกันมากมาย

สำหรับครูที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาแล้ว “ถ้าเป็นครูที่ดีไม่ได้ เราจะไปทำอาชีพอื่น”

ในความเห็นของผู้เขียนบทความ กลับไปที่คำพูดตอนต้นเรื่องว่า “เราทำไม่ได้หรอก” อาจจะฟังแล้วให้ความรู้สึกว่าหมดทางไป แต่ที่จริงแล้วเราไม่ควรทำได้ หากคำว่าทำได้จะหมายความว่าการลอกแบบโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เพราะไม่มีใครควรลอกใคร

สิ่งที่ผู้ไปดูงานโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาควรได้มากกว่าเราทำได้หรือทำไม่ได้ น่าจะเป็นประเด็นเรื่องกล้าทำหรืออย่างน้อยก็กล้าที่จะเริ่มทำ ให้ตระหนักรู้ว่าการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ดีต้องการความเป็นอิสระจาก การครอบงำทั้งปวง ไม่ยึดติดในมาตรฐานหรือตัวชี้วัดที่ตายตัว พร้อมจะออกแบบระบบใหม่หรือกระบวนการเรียนรู้อย่างใหม่ๆ ด้วยความร่วมมือของครู ผู้ปกครอง และนักเรียน

เป็นไปได้ว่ายังมีคุณครูอย่างคุณครูวิเชียรหรือคุณครูโรงเรียนแห่งนี้มาก มายกระจายในท้องถิ่นต่างๆ ของประเทศไทย แต่ด้วยการบริหารการศึกษาแบบรวมศูนย์อำนาจทำให้ไม่มีใครกล้าคิดถึงกระบวนการ เรียนรู้แบบอื่นๆ นอกเหนือจากที่ส่วนกลางกำหนด

กรณีโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องจิตวิวัฒน์ แต่ยังเป็นเรื่องการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาด้วย ถ้าผู้รับผิดชอบการศึกษาของชาติมีจิตวิวัฒน์ การกระจายอำนาจการจัดการศึกษาจะเป็นไปได้ แล้วเราจะมีคุณครูอย่างคุณครูโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาอีกหลายแห่ง

หลักสูตรซ่อน (กรวย จตุปัญญา)


โดย สรยุทธ รัตนพจนารถ
คอลัมน์ จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
13 กันยายน 2552
http://pingwab.blogspot.com



เช้าวันแดดออกรำไรๆ สลับฝนพรำ หลังทานข้าวสุดอร่อยฝีมือคุณแม่ร่วมกันพร้อมพี่สาวและน้องชาย รู้สึกหนังท้องชักตึงหนังตาชักหย่อน ผมเลือกออกไปเดินเล่น ช่วยร่างกายย่อยอาหารและฝึกฝนจิตใจ เดินไปอย่างไร้จุดหมาย ผ่านโรงเรียนสมัยอนุบาลและประถมของผมเอง นึกตั้งคำถามว่าตอนเด็กๆ เราเรียนอะไรและอย่างไร

น่าช็อกว่าแต่ก่อนนั้นความรู้ที่ว่าการเรียนรู้ เหมาะสมกับการพัฒนามนุษย์ให้สมบูรณ์รอบด้านนั้นก็มีอยู่ แต่ผมกลับได้รับการศึกษาเหมือนผลิตปลากระป๋องในโรงงาน ทั้งๆ ที่โรงเรียนนี้ก็มีชื่อไม่น้อย พวกเราล้วนต้องแข่งขันกันเป็นปลาซาร์ดีนที่คุณภาพสูงสุด กระป๋องมันวาว ไม่บุบ และมีโอเมกา-3 โดยเฉพาะ DHA ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและลดความเครียดได้ดีที่สุด ... แต่ลงเอยก็ยังคงเป็นแค่ปลากระป๋อง

แต่เช้ามาเราก็ได้เล่นนิดเดียว ครูมักมาเตือนให้รู้จักเล่นน้อยๆ หน่อย จากนั้นเข้าแถวเคารพธงชาติ ยืนเมื่อย ฟังครูเทศน์ เรื่องอะไรคิดว่าไม่มีใครจำได้เลย จำได้แต่ว่าพวกเราเบื่อและไม่เชื่อ (หรอก) แล้วเข้าห้องเรียน เรียนอะไรที่ตาดีได้ ตาร้ายเสีย บางครั้งก็สนุกดี บางทีก็น่าเซ็ง เที่ยงทานอาหารรสชาติไม่อร่อย บ่ายเข้าไปนั่งเรียนๆ หลับๆ ในห้องจนเย็น

แต่ที่น่าช็อกกว่าก็คือ ตารางการใช้ชีวิต (หรือฆ่าเวลา?) ของนักเรียนไทยส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นแบบนี้

หรืออาจเพราะเราเชื่อฝรั่งมากเกินไป เห็นเขาใช้กรวยประสบการณ์ (Cone of Experience) ของเอดการ์ เดล ในการออกแบบการศึกษา เราก็ใช้บ้าง ที่สำคัญคือเอามาไม่หมด เขาว่าให้จัดจากฐาน (ว่าด้วยการให้มีประสบการณ์ตรง) ให้ถึงยอด (ว่าด้วยเรื่องสัญลักษณ์ในภาษา) แต่เราก็มักน้อย เอาแค่แถวๆ ยอดกรวยก็พอ

น่าดีใจที่เดี๋ยวนี้องค์ความรู้เรื่องการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ดี เรื่องกระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญา (Contemplative Education) นั้นเริ่มมีผู้สนใจและแพร่หลายมากขึ้น ไม่ถูกจำกัดอยู่แต่ในเฉพาะโรงเรียนทางเลือกหรูๆ แพงๆ ผู้คนเริ่มสร้างทางเลือกในการเรียนรู้ให้กับตนเอง (และลูกๆ หลานๆ) มากขึ้น บ้างก็เรียกชื่ออื่นๆ อีกมาก อาทิ การเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ (Humanized Educare) การเรียนรู้เพื่อจิตสำนึกใหม่ (Education for a New Consciousness) การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformative Learning)

กรวยประสบการณ์แบบเดิมนั้น Out แล้วครับ ที่ In หรือ Hot ในปัจจุบัน คือ กรวยจตุปัญญา ที่เน้นการพัฒนาปัญญาทั้งสี่ด้าน อันได้แก่ ฐานคือ PQ (Physical Quotient) ความฉลาดทางด้านร่างกาย เช่น สร้างความเข้มแข็งและรักษาสุขภาพ IQ (Intelligence Quotient) ความฉลาดทางด้านความคิด หรือเชาว์ปัญญา เช่น ความสามารถในการคิด การคำนวณ EQ (Emotional Quotient) ความฉลาดทางด้านอารมณ์ เช่น ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมียอดคือ SQ (Spiritual Quotient) ความฉลาดทางด้านจิตวิญญาณ คือการแสวงหาเป้าหมายของชีวิต เข้าใจความหมายของการมีชีวิต

การจัดตารางเรียนก็แสนง่าย ไม่ยากแต่ประการใด ผมจะยกตัวอย่างของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ ให้ดูนะครับ

เช้า เน้น EQ, SQ ตัวอย่าง: เล่นกับเพื่อนใต้ร่มไม้ พูดคุยกันกับครูที่เป็นกัลยาณมิตรอย่างเป็นกันเอง กิจกรรมจิตศึกษา

สาย เน้น IQ ตัวอย่าง: ลงมือปฏิบัติ ใช้จินตนาการและความคิด

บ่าย เน้น PQ ตัวอย่าง: ฝึกทักษะทางกีฬา ศิลปะ ดนตรี ละคร

ลองคิดดูเองว่ามันเข้าท่าไหมครับ ตรงตามสามัญสำนึกใช่ไหมครับ หากเป็นเรา เราอยากเรียนแบบนี้ไหม ดูๆ ไปมันก็ไม่ยากเกินไปที่จะจัดการเรียนรู้แบบนี้นี่นา

กรวยนี้ไม่ใช่แค่สำหรับสอนเด็กในโรงเรียนนะครับ ใช้ได้กับการศึกษานอกโรงเรียน การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย โรงเรียนพ่อแม่ การศึกษาผู้ใหญ่ และการเรียนรู้ดีๆ ที่ไม่ต้องมีชื่อเรียกอื่นๆ ด้วย

หากมีโอกาสคงได้แบ่งปันเรื่องการบูรณาการองค์ความรู้ใหม่ล่าสุดด้านสมอง จิตวิวัฒน์ ศาสนา วิทยาศาสตร์ใหม่ องค์กร กับการพัฒนาความฉลาดทั้งสี่ด้านกันครับ :-)

ปณิธานครู-ปณิธานแพทย์



โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ื 12 กันยายน 2552


การประชุมจิตวิวัฒน์ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้ผมเกิดความสุขอิ่มเอมและเกิดกำลังใจเกิดแรงบันดาล ใจเพิ่มขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

คุณครูวิเชียร ไชยบัง ผู้อำนวยการโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์ ผู้เขียนหนังสือที่ดีมากๆ ชื่อว่า โรงเรียนนอกกะลา เป็นผู้จุดชนวนความสุขและความหวังให้กับวงจิตวิวัฒน์ในวันนั้น ผ่านการแนะนำของคุณหมอสมชาย ธรรมสารโสภณ จากโรงพยาบาลกระสัง

ในระหว่างที่รอจะเข้าห้องประชุม ผมพลิกๆ อ่านดูหน้าแรกของหนังสือ โรงเรียนนอกกะลา เล่มนี้ พบข้อความที่จะทำให้คนอ่านต้องสะดุ้งและเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่า เรื่องราวของโรงเรียนนี้เป็นอย่างไร และเป็นไปได้อย่างไร ครูวิเชียรเขียนไว้ว่า

โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเป็นโรงเรียนที่ไม่มีการสอบ เป็นโรงเรียนที่ไม่มีดาวให้ผู้เรียน เป็นโรงเรียนที่ไม่ต้องใช้แบบเรียน เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการอบรมหน้าเสาธง เป็นโรงเรียนที่พ่อแม่ต้องมาเรียนรู้ร่วมกับลูก และเป็นโรงเรียนที่ทุกคนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข

ครูวิเชียรค่อยๆ บอกเล่าเรื่องราวมากมาย ว่าลำปลายมาศพัฒนาสามารถเป็นไปได้ตามที่ได้เขียนไว้อย่างไร

คุณครูเล่าได้ครอบคลุมทุกๆ ด้านของการศึกษาในความหมายของลำปลายมาศพัฒนา การเล่นและเรียนรู้ของเด็กในยามเช้าก่อนเข้าห้องเรียน ซึ่งครูวิเชียรถือว่ามีความสำคัญมากเหมือนกับเป็นการเตรียมพร้อมด้านร่างกาย ของเด็ก เมื่อเข้าห้องเรียนแล้ว จะมีวิธีการเตรียมเด็กให้พร้อมกับบทเรียนด้วยวิธีการต่างๆ เมื่อครูเห็นว่าเด็กพร้อมแล้วจึงจะเข้าสู่บทเรียนแบบสั้นๆ ใช้เวลาพูดไม่นานเกินไป จากนั้นก็กลับไปให้เด็กได้ทำกิจกรรมตามแผนการเรียนที่เด็กๆ ได้ช่วยกันวางเอาไว้ตั้งแต่แรก

การใช้เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเรียนรู้ เป็นเรื่องเด่นอีกเรื่องหนึ่ง เช่น การบอกความรู้สึกกันตรงๆ ระหว่างครูกับนักเรียน หรือครูกับครู การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ที่บ้าน และชุมชน

การให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนการสอน ผู้ปกครองทุกคนต้องมาสอนในโรงเรียนอย่างน้อยหนึ่งวิชา จะเป็นอะไรก็ได้

ผมนั่งฟังคุณครูวิเชียรเล่าด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ เรื่องราวทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการ เรียนรู้สำหรับเด็ก ซึ่งเป็นไปในแนวเดียวกันและสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่องสมองและวิทยาศาสตร์ใน กระบวนทัศน์ใหม่ที่หลายคนในกลุ่มจิตวิวัฒน์กำลังดำเนินการอยู่ และกำลังค่อยๆ เผยตัวออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องหนึ่งที่สะดุดใจผมมากคือ “ปณิธานห้าข้อของครู” ที่คุณครูวิเชียรใช้สำหรับคุณครูทุกคนในโรงเรียน

คุณครูวิเชียรเล่าว่า การรับสมัครคุณครูใหม่ให้มาสอนที่โรงเรียนไม่ยากเลย เพราะมีคนมาสมัครเยอะมาก แต่เมื่อรับเข้ามาแล้วกว่าที่จะฝึกหัดให้คุณครูใหม่ “รู้สึกร่วม” กับ “ปณิธาน” ของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนานั้นเป็นเรื่องยากที่สุด ต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นปีขึ้นไป กว่าที่คุณครูใหม่จะดื่มด่ำกับการเรียนการสอนที่แปลกใหม่แบบนี้ คุณครูเลยมี “ปณิธานห้าข้อ” ไว้สำหรับคุณครูเพื่อที่จะเป็นแนวทางในการทำงานร่วมกัน

หนึ่ง ตอนเป็นเด็กต้องการอย่างไรก็ให้ปฏิบัติอย่างนั้นกับเด็ก

สอง รักเด็กทุกคน ให้เกียรติ หาข้อดีของเขาและสร้างเสริมส่วนนี้

สาม ไม่ปล่อยให้เด็กล้มเหลวแม้แต่คนเดียว

สี่ ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป ถามตัวเองเสมอว่าทำให้ดีกว่านี้อีกได้หรือไม่

ห้า ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ไปทำอาชีพอื่น

เพราะ “ปณิธานห้าข้อ” ของครูวิเชียร ทำให้ผมนึกได้ขึ้นมาทันทีว่า เป็นเรื่องเดียวกันในระบบสาธารณสุขได้เลย เพียงปรับคำพูดบางคำก็จะกลายเป็น “ปณิธานห้าข้อสำหรับแพทย์พยาบาล” ได้

ข้อที่หนึ่ง ผมเห็นว่าสามารถใช้ความรู้สึกข้อนี้ เป็นแนวทางหลักในการดูแลรักษาคนไข้ได้เป็นอย่างดี ตอนที่เราเป็นคนไข้ ต้องการให้แพทย์พยาบาลปฏิบัติกับเราอย่างไร ก็ให้ปฏิบัติแบบนั้นกับคนไข้

ข้อสอง เป็นหัวใจหลักของสุขภาพแบบองค์รวมเลยทีเดียว คือรักและให้เกียรติคนไข้ มุ่งพัฒนาและสร้างเสริมสุขภาวะของคนไข้มากกว่าที่จะมัวแต่รอรักษาโรค การจะเข้าถึงความลึกในระบบสุขภาพให้ได้นั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะต้องให้ความสำคัญกับ “สุขภาวะกำเนิด” (Salutogenesis) ซึ่งเป็นศักยภาพที่มีอยู่แล้วในตัวคนไข้ด้วย ไม่ใช่สนใจแค่ “พยาธิกำเนิด” (Pathogenesis) หรือมุ่งรักษาโรคอย่างเดียว

ข้อสาม ถ้าแปลงเฉยๆ จะกลายเป็นเข้าใจผิดได้ง่าย เพราะคำว่า “ล้มเหลว” ในปณิธานของครูวิเชียรที่ใช้กับระบบการศึกษา อาจจะต้องปรับแต่งเล็กน้อยในระบบสุขภาพ เพราะความเข้าใจทั่วไปสำหรับสาธารณสุขคำว่าล้มเหลวหมายถึง “การเสียชีวิต”

ความหมายในข้อนี้จึงน่าจะหมายถึง ให้ศรัทธาในตัวคนไข้เสมอ ไม่ทอดทิ้งคนไข้แม้ว่าเขาจะดื้อดึงในเรื่องของสุขภาพของเขาสักแค่ไหนก็ตาม คนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่างก็มีความคิดทัศนคติมีตัวตนเป็นของเขาเอง การจะเข้าใจคนไข้อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายในบางบริบทและบางสถานการณ์ แต่ “ความระลึก” ถึงปณิธานข้อนี้พอจะช่วยเตือนให้เราสามารถรักคนไข้ได้ง่ายขึ้น

ข้อที่สี่ ผมชอบคำถามของคุณครูวิเชียรที่ให้ถามตัวเองว่า เราจะทำดีกว่านี้ได้อีกหรือไม่ ก็สามารถเป็นตัวช่วยให้ “ทะลุกรอบ” อะไรบางอย่างได้ นักเรียนของคุณครูวิเชียรหลายคนมีเรื่องราวที่บ้าน บางคนไม่มีพ่อ บางคนอยู่กับยาย มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง ซึ่งทั้งหมดจะมีผลต่อครูและโรงเรียน เฉกเช่นเดียวกันกับคนไข้ที่มาโรงพยาบาล ปัญหาบางอย่างแพทย์และพยาบาลอาจจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก แต่ผมเชื่อว่า อย่างน้อยคำถามนี้อาจจะสามารถช่วยให้ “ใครบางคน” “ทำอะไรที่แตกต่าง” ได้

ห้า ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ไปทำอาชีพอื่น

ในความเป็น “องค์รวม” นั้น เรื่องราวของส่วนหนึ่งเป็นภาพสะท้อนถึงเรื่องราวของส่วนอื่นๆ ในระบบ นั่นหมายความว่า “ปณิธานครูห้าข้อนี้” ยังสามารถปรับให้เป็น “ปณิธานของทุกๆ อาชีพ” ได้ เช่น “ปณิธานนักการเมือง” “ปณิธานนักธุรกิจ” “ปณิธานตำรวจทหาร” ฯลฯ

งานที่คุณครูวิเชียรทำไว้ที่ลำปลายมาศพัฒนา จึงสามารถเป็นตัวอย่างของชุดความเข้าใจที่สำคัญให้กับการพัฒนาในระบบอื่นๆ ทุกๆ ระบบได้เป็นอย่างดียิ่ง

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

โรงเรียนนอกกะลา

Lamplaimat Pattana School : โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา



วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

ครูใหญ่ ของเด็ก ๆ

วิเชียร ไชยบัง
ครูนอกกะลากับห้วงเวลาแห่งการข้ามภูเขาชีวิต





ผม มองสิ่งที่ไม่รู้เหมือนภูเขาที่ต้องปีนข้ามไป ความรู้สึกอยากพิชิตมัน ไม่ได้มาจากความทยานอยากจะเอาชนะใคร แต่มาจากฉันทะข้างในที่อยากเอาชนะความไม่รู้ของตัวเอง

.....................


“ผมไม่เคยฝันอยากเป็นครูเลย แต่ก็เป็นครูมาแล้วกว่า 15 ปี และภูมิใจมากที่ได้เป็นครู” วิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา


“การ เป็นครูที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก ตอนเป็นเด็กเราอยากได้ครูแบบไหนเราก็ปฏิบัติอย่างนั้น รักเด็กทุกคนให้เกียรติเขาหาส่วนดีของเขาเสริมพลังให้เขาเป็นคนดียิ่งขึ้น ไม่ปล่อยให้เด็กในห้องล้มเหลวแม้แต่คนเดียว และไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าพยายามเป็นครูที่ดียิ่งๆ ขึ้น”


โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเป็นโรงเรียนใหม่เพิ่งจะตั้งได้ 7 ปี แต่เป็นที่รู้จักของผู้ที่สนใจเรื่องการศึกษา

โรงเรียนที่ท้าทายขนบแบบเก่า เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการสอบ ไม่มีเสียงระฆัง ไม่มีดาว ไม่มีการอบรมหน้าเสาธง ...ไม่มี ไม่ใช้แม้แต่แบบเรียน!


เด็กๆ เข้ามาเรียนที่นี่ด้วยวิธีจับฉลาก ร้อยละ70 เป็นนักเรียนยากจน ลูกชาวไร่ชาวนาในอำเภอลำปลายมาศ เด็กไม่น้อยกว่า 40 คน เป็นเด็กกำพร้า บางคนไอคิวต่ำ แต่มาร่วมเรียนกับเด็กคนอื่นๆ ได้


เด็กทุกคนที่นี่มีคุณค่าเท่าเทียมกัน...ครูพัฒนาเด็กตามศักยภาพของแต่ละคน    แต่ นั่นไม่ใช่สาระสำคัญที่สุด...ทว่าเป้าหมายหลักในใจของผู้บริหารโรงเรียนนี้คือ ให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นตัวอย่างเพื่อให้โรงเรียนในชนบทอีก 3 หมื่นกว่าแห่งได้มาเรียนรู้ และนำสิ่งนี้ไปใช้ ไปพัฒนารูปแบบในวิถีของตน...

หลายสิ่งหลายอย่างที่โรงเรียนนี้กำลังทำ เหมือนทวนกระแส เหมือนกำลังสร้างอนุสาวรีย์หรือสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้การศึกษาไทย

ไม่ต่างกับคำพูดในหนังสือที่ครูวิเชียร เขียนถึงโรงเรียนของเขาว่าเป็น โรงเรียนนอกกะลา ที่ใช้พลังแห่งความรั้น...ผลักดันโลก


และถ้าโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ได้ชื่อว่าเป็น โรงเรียนนอกกะลา... ครูอย่าง วิเชียร ไชยบัง...ก็คือ ครูนอกกะลา ที่เราอยากรู้ว่า เขามีวิธีออกจากกะลาใบใหญ่นี้ได้อย่างไร

ประสบการณ์ชีวิตที่ต้องผ่าน
ครู วิเชียรบอกว่าการที่เขาได้ผ่านชีวิตมาแล้วแทบทุกรูปแบบ การผ่านมันจริงๆ ทำให้เขาเข้าใจมัน เหมือนที่เขายกตัวอย่างเรื่องเล่นไพ่ ตอนที่ติดพนันไพ่แม้ตอนหลับตาเขายังเห็นเป็นเลขในหน้าไพ่ เล่นไพ่ได้แทบทุกชนิด และเล่นแทบทุกวันโดยไม่สนใจสิ่งใดรอบข้าง แต่เดี๋ยวนี้เขากลับรู้สึกเฉยๆ กับมัน เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
“ผมรู้สึกว่าได้ผ่านมาแล้ว ถ้าเคยผ่านมันจริงๆ อย่างที่ผมผ่าน ก็จะเข้าใจ เห็นคนขายตัวก็รู้สึกธรรมดากลับต้องให้เกียรติเขา เห็นคนติดกัญชาก็รู้สึกธรรมดา หรืออย่างการพนันผมก็ผ่านมันมาแล้ว ถึงแม้ผมจะชอบเล่นชนิดติดมันงอมแงม แต่ตอนนี้ผมกลับเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอยากเล่นเลยสักนิด เพราะมันกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเราแล้ว ไม่มีความหมายต่อเราแล้ว”
ครูวิเชียรเล่าถึง ภาพหนึ่งที่ยังติดตรึงอยู่ข้างใน แม้มันจะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ แต่มันทำให้เขาหยุดใคร่ครวญเชื่อมโยงกับความรู้สึกข้างในของเขา มันเป็นภาพชายขี่สามล้อที่เขาเฝ้ามองตอนที่นั่งรอบนรถโดยสารกลับจากกรุงเทพฯ ตอนที่เริ่มทำงานที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาใหม่ๆ

“รู้ ไหม ผมเห็นอะไร--- ภาพคนขับสามล้อคนหนึ่งต้องกินข้าวเหนียวส้มตำอย่างรีบร้อนบนรถสามล้อของเขา เอง เพียงเพื่อจะรีบไปทำงานต่อ เพราะรถจะมาแล้ว ผู้โดยสารใหม่กำลังจะเข้ามา ผู้ชายคนหนึ่งทำงานหนัก อดทน และกินอย่างประหยัด เพื่อจะหาเงินเก็บออมไว้ให้ใครสักคนที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งคนที่อยู่ข้างหลังไม่มีทางรู้เลยว่าคนนี้ลำบากแค่ไหน ต้องผ่านอะไรมาบ้างในแต่ละวัน เขาคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร แล้วอะไรที่กำลังโจมตีข้างในเขาอยู่บ้าง”

“แล้ว พอผ่านมันมา เราก็ใคร่ครวญใช่ไหม ผมรู้ตัวเองว่าผมมาจากไม่มีอะไร ครอบครัวผมไม่มีอะไร เวลากรอกข้อมูลในตอนเด็กๆ เขาให้กรอกว่าพ่อแม่ทำอาชีพอะไร ผมกรอกคำว่า ชาวนา อย่างทรมานมาก เพราะบ้านผมไม่มีที่นา พ่อแม่เป็นชาวนาก็จริงแต่เรารับจ้างทำนา”

...........

ครู วิเชียรเป็นเด็กชนบท สนใจใฝ่ฝันอยากเป็นทหาร แต่เมื่อสอบไม่ได้ ก็ไปขายไส้กรอกอีสาน ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ  ครูวิเชียรเล่าถึงชีวิตก่อนจะมาเริ่มเรียนวิทยาลัยครู


ชีวิต พลิกผันกลับมาอีกครั้งเมื่อ ‘โครงการคุรุทายาท’ ที่เขาสอบทิ้งไว้ประกาศผล และเขาสอบติดได้เข้าเรียนเป็นนักเรียนทุนคุรุทายาทรุ่นแรกของวิทยาลัยครู มหาสารคาม

ตอนนั้นมีคนได้ทุนเพียง 10 คน ครูวิเชียรบอกว่าเขาไม่ได้สมองดี แต่อาจจะมีวินัยในการเรียนดีกว่าหลายคน เช่น ถ้าชอบที่ทำอะไรก็จะทำให้ดี ชีวิตขณะที่เรียนวิทยาลัยครูนั้นค่อนข้างลำบาก เพราะทุนคุรุทายาทรุ่นแรกนั้นไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรให้นอกจากที่เรียนและ ตำแหน่งงานหลังเรียนจบ ตอนเย็นๆ เขาหาเงินโดยรับจ้างตัดหญ้า ด้วยการไปยืมรถตัดหญ้าของวิทยาลัยที่ฝ่ายพัสดุแล้วไปเวียนตัดไปตามบ้าน อาจารย์ที่อยากให้นักศึกษาไปช่วยงาน


“ผมได้ เงินวันละสี่สิบห้าสิบบาททุกวัน โชคดีตอนนั้นค่าหน่วยกิตเพียง 20 บาท ก็พออยู่พอกิน พอมาพักหลังๆ ผมเริ่มหาเงินด้วยวิธีที่แยบยลมากขึ้น สบายมากขึ้น เพื่อให้พอเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียน สักพักการรับจ้างก็น้อยลงกลายมาเป็นเล่นไพ่เป็นหลัก เล่นเพื่อให้ได้เงินมาเรียน”
ครูวิเชียรถูกจับได้เรื่องเล่นไพ่ถึงสองครั้งสองครา ถูกทำทัณฑ์บนทั้งสองครั้ง แต่เพราะเป็นนักเรียนทุนก็เลยไม่ถูกไล่ออก


“นัก เรียนทุนต้องพักอยู่ในหอพักของวิทยาลัย ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนไปแล้ว เวลาเล่นไพ่นี่ผมจะต้องได้ คือถ้าเล่นจะต้องได้ แม้ไม่ได้มากแต่ต้องได้กินสำหรับวันนั้น มันไม่ถึงกับอิ่มแค่มีชีวิตอยู่ได้ไปวันๆ เมื่อหมกมุ่นอยู่กับมันนานๆ เข้าผมก็เห็นถึงความกลวงโบ๋ของมัน น็ สุดท้ายก็เริ่มพยายามหาสาระของตัวเองซึ่งมันเป็นธรรมชาติของวัยนั้นอยู่แล้ว ใช่ไหม”


“ผมมองว่าหลายอย่างก็เป็นจุดเปลี่ยน ของชีวิตเหมือนกัน ผมไม่อายนะ ถ้าครูจะมาเรียกไปตัดหญ้า หรือไปซักเสื้อผ้าให้ ผมก็ไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร สาวๆ จะมองอย่างไร ผมกำหนดชีวิตของเอง บางทีในช่วงปีใหม่ หรือช่วงปิดเทอมผมก็จะไม่ค่อยได้กลับบ้าน วิทยาลัยก็จะมีทุนทำงานให้นักศึกษาผมก็ทำ บางช่วงก็ปัดกวาดอาคารเรียน รับสมัครน้องนักศึกษา หรือเป็นเวรยาม”

อย่าเป็นภูเขา เพราะเมื่อนั้นผมจะปีน
ครู วิเชียรเติบโตอยู่กับตา มีตาเป็นแบบแผนในการใช้ชีวิต และผูกพันกับตามากจนนำเอามาเป็นแรงบันดาลใจเขียนไว้ในนิยายที่ชื่อ สายลมและทุ่งหญ้า*
“ตาเป็นเกราะที่แข็งแรงมาก สำหรับผม ตาไม่เคยบอกผมว่า อะไรถูกอะไรผิด ความนิ่งของตาให้ผมต้องได้คิดได้ใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆ เสมอว่ามันถูกหรือผิด ด้วยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขของตาจึงเป็นสิ่งหล่อหลอมผมขึ้นมาจากความยาก ลำบาก”

ย้อนกลับไปสมัยเรียน เมื่อจบชั้นประถมหก เขาแทบไม่เห็นอนาคตของตัวเองเลยด้วยซ้ำ เรื่องเรียนต่อยิ่งไม่ต้องคิด และเขาก็ไม่ได้สนใจมันด้วยซ้ำ วันๆ ใช้ชีวิตเพื่อหารังผึ้งตามทุ่งนาตามป่า พ่อแม่ก็ไม่ได้คาดหวังเพราะไม่มีความรู้
...แต่ สุดท้ายเพราะครูที่สอนชั้นป.6 เขาก็ไปสมัครเรียนในวันสุดท้าย...และก็ได้เข้าเรียนต่อชั้นม.1 ชีวิตการเรียนม.1 ของเขาก็คือ เดินไป-กลับจากบ้านไปโรงเรียนวันละ 8 กิโลเมตร ทุกวัน ตลอดสามปีในช่วงมัธยมต้น
อะไร ทำให้รักเรียน ไม่ทิ้งเรื่องการเรียน เพราะคนชนบททั่วไป ถ้าไม่มีโอกาสเรียนก็ไม่ดิ้นรนขวนขวาย ยิ่งถ้าครอบครัวไม่มีจะกินด้วยแล้ว การออกมาทำงาน ทำไร่ทำนา ทำมาหากินนั้นก็อาจจะดีกว่า ช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้มากกว่าที่จะไปนั่งเรียนในห้องเรียน
“ผม ไม่ใช่เด็กเรียนดี แต่มีความพยายามสูง มีประโยคหนึ่งที่ผมเขียนไว้เหมือนเป็นคติบอกความเป็นตัวเองเสมอ ก็คือ ‘อย่าเป็นภูเขาเพราะเมื่อนั้นฉันจะปีน’ ฉันไม่ได้ต้องการอยู่บนนั้น ฉันแค่ต้องการพิชิตมัน”
เขาบอกว่า ทุกอย่างที่เป็นความท้าทายเขาจะทำ


“ความท้าทาย คือ ความอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมผมจะเอาชนะไม่ได้”

ในช่วงวัยประถมเขาเคยอยากเป็นนักกีฬา แต่เพราะรูปร่างอ้วนทำให้เขาต้องพลาดโอกาสต่างๆ ทั้งการเล่นกีฬา และการได้ตีกลองพาเหรด

“ผม อ้วนเพราะตาผมเลี้ยงด้วยนมตราหมี เพราะไม่มีนมแม่กิน นมผงตราหมีกระป๋องสมัยนั้นยูเนสโก้เอามาแจก แล้วตาก็กลัวว่าหลานจะกินไม่อร่อย ก็เลยชงใส่น้ำตาลเยอะๆ ด้วยความที่ตัวอ้วนที่โรงเรียนผมไม่เคยได้เป็นตัวแทนทำอะไรสักอย่าง”

“พอ อยู่มัธยมเล่นบาสเกตบอลทุกวัน ไม่น่าเชื่อว่าคนตัวอ้วนอย่างนี้จะเล่นบาสได้ ผมใช้เวลาสองปีเล่นทุกวันจึงเล่นเป็นจนตัวก็ผอมลง นั่นคือ อย่าเป็นภูเขาไม่อย่างนั้นผมจะปีนผมไม่ต้องการอยู่บนนั้นแค่ต้องต้องการเอา ชนะมัน”

เช่นเดียวกับการเข้ามาเรียนต่อตอนชั้น ม. 4 ซึ่งเป็นโรงเรียนในอำเภอ วันแรกครูวิทยาศาสตร์ให้นักเรียนจับกลุ่ม แต่ปรากฏว่าไม่มีเพื่อนคนไหนเลือกจับกลุ่มกับเขาเลยสักคน

“ผม เหมือนคนเศษ เพราะผมมาจากบ้านนอกไม่ได้อยู่ในสายตาเพื่อนๆ ตอนนั้นเลยตั้งใจไว้ว่าจะทำคะแนนสูงที่สุดในวิชาวิทยาศาสตร์ให้ได้ เวลาผ่านไปปีครึ่งผมทำได้ นั่นคืออย่าเป็นภูเขา ผมคิดเกี่ยวกับทุกเรื่องนะ มันเหมือนเป้าหมายที่เราต้องการจะไปให้ถึง อะไรเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะที่เป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ”
“การ เอาชนะของเราหรือการพยายามปีนภูเขาของเราไม่ได้มาจากความทยานอยาก หรือแข่งกับใคร แต่มาจากข้างในเราที่อยากชนะตัวเรา เมื่อผมตั้งใจทำอะไรผมจะทำจนสุดความ สามารถไม่มีวันปล่อยทิ้งกลางทางเด็ดขาด”

“ความ สำเร็จก็เช่นเดียวกัน คือไม่ใช่ทิ้งไปเลย แต่ก็ไม่ได้ยึดติด เพียงถ้าอยากกลับมาทำอีกก็จะทำแต่ไม่ได้มีความรู้สึกแบบที่อยากพิชิตเหมือน ตอนแรกอีกแล้ว และไม่ได้อยากเสวยสุขในสิ่งที่สำเร็จแล้ว ความสุขของผมอยู่ที่การปีนมากกว่าอยู่บนนั้น พอปีนเสร็จมันก็เกิดปีติ แต่ปีตินั้นแป๊บเดียว”

ขบถ! และการทำเพื่อคนอื่น
ใน ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ ความยากลำบากของครูวิเชียร การเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อตัวเอง แต่เขากำลังมุ่งมั่นทำสิ่งต่างๆ เพื่อคนอื่น
“ผม มีความรู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ยอมเจ็บเพื่อไม่ให้คุณเจ็บ ผมยอมไม่กินเพื่อให้คุณได้กิน เป็นแบบนั้นมาแต่เด็ก อาจจะได้แบบอย่างมาจากตา”
“เป็นความเจียมเนื้อ เจียมตัวที่ถูกสอนให้เป็นแบบนั้น สมัยมัธยมต้นจะได้เงินวันละบาท เงินบาทหนึ่งสมัยก่อนซื้อปลาทูตัวผอมๆ ได้หนึ่งตัว ถ้าจะทอดต้องซื้อน้ำมันอีก ก็ใช้วิธีปิ้งแล้วแบ่งครึ่งกิน อีกครึ่งห่อไว้ไปกินโรงเรียน มักจะไปหลบกินข้าวเที่ยงใต้ร่มไม้ในป่ามันสำปะหลัง ครั้งหนึ่งไปที่นั่นก็ไปเจอเพื่อนอีกคนที่เขานั่งกินอยู่ก่อน ผมก็ขอนั่งร่วมกินด้วย ผมรู้ว่าปลาทูครึ่งตัวของผมยังเป็นกับข้าวที่ดีกว่าที่เขามีอยู่ แต่ผมก็ไม่ทำให้เขารู้สึกอับอายต้อยต่ำกว่าเด็ดขาด ผมมีวิธีที่จะทำให้เขารู้สึกดีให้ได้ โดยผมเป็นฝ่ายร้องขอต่อเขา เหมือนกับที่ผมเห็นชายคนถีบสามล้อที่รีบกินข้าวเหนียวส้มตำเพราะต้องรีบทำ งาน ผมจะไม่ทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยแต่จะให้เกียรติเขาและจะทำให้เขารู้สึกดีให้ ได้”
“ผมมีความเป็นขบถอยู่ในตัว ผมต่อต้านความคิดบางอย่างของแม่ ต่อต้านความคิดบางอย่างของครู ความเป็นขบถของผมคือการเงียบ การก่อการคือการเงียบ ขบถต่อสังคมด้วยนะมันถึงส่งผลมายังการทำโรงเรียนแบบนี้ เช่น สิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ว่าถูก บางอย่างเราก็ว่าไม่ถูก อย่างเช่นความยุติธรรม ผมไม่เชื่อนะ แต่ผมเชื่อเรื่องความพอดี ทุกคนมีความพอดีเฉพาะตัวจะเสมอเหมือนเท่ากันอย่างยุติธรรมคงไม่ใช่ เมื่อเข้าใจความพอดีของตัวเองความพอใจก็จะบังเกิด”
“ดัง นั้นผมจึงเชื่อเรื่องความพอดียิ่งกว่าความยุติธรรม ต้องมีความพอดีของแต่ละคน ผมคิดเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค หลายคนบอกว่ายุติธรรมเพราะทุกคนจ่าย 30 บาทได้เท่ากันหมด ในทางกลับกันทำไมคนที่มีรายได้เยอะๆ จึงไม่จ่ายมากกว่า 30 บาท ความพอดีของแต่ละคนไม่เหมือนกันบางคนมีแค่ร้อยเดียวบางคนมีหมื่นล้านแต่ได้ จ่าย 30 เท่ากัน อันนี้คือตัวอย่าง อธิบายยาก แต่นี่คือขบถเรื่องหนึ่ง”

ความ ขบถของครูวิเชียรเกือบทำให้เขาต้องเป็นโรคประสาท เขาเล่าว่า ช่วงอายุราวๆ 28 ด้วยความไม่เห็นพ้องกับหลายๆ สิ่ง หรือไม่เชื่อในหลายๆ อย่างที่ปรากฏอยู่ เขามุ่งมั่นศึกษาทางธรรมจริงจัง ทุ่มเทเต็มที่ด้วยคำถามในใจมากมาย เคยแม้กระทั่งไปศึกษาทางศาสนาคริสต์จนเกือบจะเปลี่ยนศาสนา
“พอ เราไปศึกษาก็พบว่า มันไม่ใช่ เพราะความเป็นขบถในตัวเราคอยตั้งคำถามคัดค้านอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ใช่แบบนั้น แบบนี้นะ ผมมีคำถามตลอดว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรในโลก ผมเชื่อเรื่องศักยภาพภายในที่มันผุดขึ้นมาเอง ทำไมผมวาดรูปได้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเรียนศิลปะ ใครสอนพระพุทธเจ้า ใครสอนดาวินชี่ ใครสอนไอน์สไตน์ ทำไมเขาเป็นอัจฉริยภาพขึ้นมาได้”

“ผมไปศึกษา ธรรมะ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่ผมคิดว่าทุกอย่างมีวิถีทางของมัน เหมือนใบไม้ ในป่า ไม่ได้มีแค่ใบเดียว แบบเดียว ยิ่งได้มาอ่านหนังสืออย่างเรื่องสิทธารถะ* ด้วยแล้วยิ่งมีความเข้าใจว่ามันไม่ใช่หนทางเดียว”
“ผม เผชิญความตายมาแล้วครั้งหนึ่งตอนสักมัธยมสอง ตอนนั้นผมไปทอดแหคนเดียวในหนอง ใช้แพที่ทำจากต้นนุ่น ผมพยายามว่ายน้ำจากแพเข้าฝั่งโดยมีแหพันอยู่รอบคอ แล้วผมก็จมลง ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกผมยอมแพ้กับความตายไปแล้ว การรอดตายครั้งนั้นทำให้ผมตระหนักว่าการมีชีวิตอยู่นั้นมีค่ามากแค่ไหน ตอนนั้นผมสัญญาว่าจะอยู่เพื่อทำในสิ่งที่โลกพึงปรารถนา ผมตั้งใจจริงๆ ว่าจะอยู่สักเจ็ดสิบจะถึงหรือไม่ถึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเริ่มนับถอยหลังแล้วตั้งแต่อายุสามสิบห้าปี ตอนนี้ผมมีเวลาบนโลกนี้อีกยี่สิบเก้าปี ผมจะทำสิ่งที่ผมปรารถนาที่สุดและมีความสำคัญต่อโลก ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง จิตวิญญาณเหมือนกัน เช่นเดียวกับสิ่งสูงสุดที่เราอยากพัฒนาคนก็คือเรื่องจิตวิญญาณ แต่โรงเรียนส่วนใหญ่กลับไม่เห็นสิ่งนี้ คนส่วนใหญ่มองแค่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และมองเรื่องไอคิวว่าเป็นเรื่องใหญ่ หารู้ไม่ว่าไอคิวมีผลต่อชีวิตน้อยมาก สิ่งที่มีผลต่อชีวิตคือเรื่องจิตวิญญาณ”

*สิทธารถะ นิยายเชิงปรัชญาของนักเขียนรางวัลโนเบล แฮร์มานน์ เฮสเสะ


ในเรื่องครอบครัว ครูวิเชียรแต่งงานเมื่ออายุ 25 มีลูก 2 คน คนโตเรียนชั้นม. 4 คนเล็กสุดอยู่ชั้นป.5 หลังจากแต่งงานมาได้ 10 ปี
วิเชียร เลือกที่จะออกมาใช้ชีวิตคนเดียวและอธิบายว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาหากเราทำ ความเข้าใจจริง ๆ พ่อแม่กับเรารักกันแค่ไหน แต่สุดท้ายเราก็ต้องต่างคนต่างโต ก็เหมือนกัน เรากับลูก กับภรรยารักกันแค่ไหน ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมายึดติดครอบครองเพราะมันครอบครองไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีอิสระ มีจิตวิญญาณที่มีอิสระ
“เรา ไม่ใช่คิดแคบ ๆ ว่าทำเพื่อฉัน ของฉัน ซึ่งทำให้จิตใจต่ำลง บางทีเราไม่ต้องอธิบายเป็นคำพูดแต่เราแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ทำให้เกิดขึ้นจริงๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำเพื่อคนอื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเรามีเจตนาในชีวิตอย่างไร”
“ผม พูดกับภรรยาว่า ผมถูกสร้างมาเพื่ออยู่คนเดียว และเพื่อจะทำอะไรบางอย่างที่สูงกว่าจะมาดูแลกันแค่วงแคบๆ นี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่รักเขา ผมดูแลเอาใจใส่เขาเท่าที่ผมทำได้ แต่ขณะเดียวกันควรจะได้รักคนอื่นด้วย ภรรยาผมเข้าใจ แรกๆ ก็ทุกข์บ้างแต่ต่อมาก็เริ่มเข้าใจว่า ทำไมทั้งชีวิต ความคิด เรี่ยวแรงของผมต้องทำเพื่อคนอื่นด้วย ถึงลูกจะไม่ได้อยู่กับผมตลอดเวลา แต่ผมก็ดีใจที่ลูกก็มีความคิดคล้ายผม เพราะเวลาเขาจะเลือกเรียนอะไรหรือเลือกทำอะไรเขาจะก็ทำสิ่งที่ได้ช่วยคนอื่น ด้วย”

ในการทำงานก็เช่นเดียวกัน หากสังเกต จะเห็นคำพูดของครูวิเชียร เขาพูดเสมอว่า เดี๋ยวก็ได้เดี๋ยวก็ทำได้ ไม่เคยบอกว่าไม่ได้หรือ ไม่มีความหวัง
“คำว่า ล้มเหลว คิดก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ลังเลสงสัยไม่ได้เลย ถ้าเราเชื่อมั่นทุกอย่างก็จะเป็นไปได้ คนที่อยู่รอบข้างก็จะเชื่อมั่นกับเราด้วย”
“เช่น เดียวกับกรณีเกี่ยวกับผู้ปกครองคนหนึ่ง ไม่เข้าใจแนวทาง ไม่ค่อยให้ความร่วมมือทั้งที่เราทำกันหลายวิธี แต่เราก็ไม่ถอย และไม่โกรธแต่ยังพยายามสร้างความเข้าใจต่อไป เหมือนสะกดจิตตัวเอง เพราะเมื่อจดจ่อกับสิ่งนั้นจริง ๆ เราก็จะปลดปล่อยพฤติกรรมร่างกายให้เราแสดงแบบนั้นเพื่อสิ่งนั้นโดย อัตโนมัติ”

“ผมอาจจะใช้วิธีไปกระตุกเขาบ้าง กระตุกให้ตื่น แต่ผมจะไม่บอกว่าคุณทำผิดนะคุณต้องโดน หรือห้ามทำแบบนี้ ความจริงเราทำอย่างนั้นไม่ได้เราไม่ใช่พระเจ้าที่จะไปตัดสินใครๆ แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็คือ ให้แง่คิดว่าเกิดอะไรขึ้น ให้เขาคิดเองผิดถูกอย่างไร แล้วถ้าผิดต้องแก้ไขอย่างไร พยายามให้เกิดจากการที่เขาเป็นคนเลือกเองทั้งหมด บางทีมันอาจจะไม่เกิดผลทันทีนะ เพราะสิ่งที่เด็กบอกว่าจะแก้ไขอย่างไรอาจไม่ใช่สิ่งที่เราอยากให้เป็น แต่เราต้องเชื่อมั่นว่าวิธีการของเราจะกล่อมเกลาให้เขาเป็นคนดีด้วยตัวเขา เอง ไม่ใช่เพราะใครสักคนมาคอยบอก”

แลกชีวิตของครูนอกกะลา
ครู วิเชียรเล่าถึงชีวิตก่อนบรรจุเข้ารับราชการเป็นครูครั้งแรกในชีวิต “ตอนนั้นผมมีสตางค์แค่ 300 บาท ผมก็เช่ารถสองแถวเอาของที่มีไปโรงเรียนทันทีและวันถัดมาก็เริ่มสอนเลย”
ระหว่าง ที่เริ่มทำหน้าที่ ครูวิเชียรได้เผชิญกับความจริงหลายอย่าง เขาใคร่ครวญมากขึ้นเกี่ยวกับชีวิตจริงของครู ระบบ และนักเรียน เวลานั้นเขาเริ่มคิดอย่างเดียวคือ ต้องอดทนเพื่อเด็กๆ เขาเริ่มบอกตัวเองว่า
“เราจะทำได้มากกว่านี้ถ้าวันหนึ่งเราได้เป็นผู้บริหาร”
ครูวิเชียรตัดสินใจสอบเป็นผู้บริหารเพื่อสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ ในที่สุดก็ได้เป็นผู้บริหารหนุ่มที่สุดด้วยอายุเพียง 27 ปี
“พอ เป็นครูใหญ่ผมก็ทำได้มากกว่าจริง ๆ ไปเป็นครูใหญ่อยู่ 3 แห่ง และก้าวหน้าเร็วในระบบราชการ แต่ลึกๆ ก็ยังอยากทำอะไรมากกว่านี้อีก สิ่งที่ผมคิดอยู่ตอนนั้นคือเมื่อผมเกษียณผมคงเป็นแค่คนแก่ธรรมดาคนหนึ่งที่ อยู่กับบ้าน”
นั่นก็คือสาเหตุที่ครูวิเชียร ตัดสินใจทิ้งตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนของรัฐที่กำลังไปได้ดี แล้วมาเริ่มต้นใหม่ทำโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ซึ่งขณะนั้นยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอะไร มีเพียงที่ดินว่างเปล่ากับต้นไม้ไม่กี่ต้นให้หลบแดด

ครู วิเชียรเข้าสัมภาษณ์ เป็นคนที่ 3 หลังจากโรงเรียนคัดเลือก เขากลับมาลาออกจากงานเก่าทันที เขายอมรับว่าสิ่งที่เลือกนั้นท้าทายจิตใจตัวเองมาก จากเดิมที่สบายดีอยู่แล้วกลับกระโดดออกมาเริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่ยังมิอาจคาด เดาได้ แต่อย่างหนึ่งที่เขามีนั่นก็คือความมั่นใจที่จะแลกชีวิต ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อสร้างโรงเรียนตัวอย่างขึ้นมาให้ได้

“ถ้า ผมทำตามวิถีเดิมที่เคยทำอยู่แล้ว มันก็ง่ายเพราะเป็นทักษะที่เชี่ยวชาญมาแล้วตั้งสิบปีใช่ไหม มันง่ายมากในระบบในวิถีแบบนั้น แต่จะไม่มีประโยชน์ ต่อการเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลก เพราะฉะนั้นผมต้องทำสิ่งที่มีความหมายมากกว่า”
“ลอง คิดดูว่าถ้าผมไม่ออกจากการเป็นผู้บริหาร เป็นครูใหญ่ป่านนี้อาจจะสบายไปแล้วเพราะผมยังเหลืออายุราชการอีกเกือบสามสิบ ปี เป็นครูเพียงสิบปีก็จะขอปรับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการแล้ว ทางยังไปได้อีกไกล แต่ที่ผมกระโดดออกมาเพราะผมรู้ว่า ผมจะเกษียณอย่างไร ผมเห็นสิ่งที่จะเป็นแล้วในอนาคต”

“ทุกข์ มากสามปีแรก ไม่มีใครรู้ว่าเราลำบากแค่ไหน ทำโรงเรียนสักโรงเหนื่อยมาก ต้องใช้แรงกายแรงใจและศักยภาพอย่างมาก บางครั้งเรานั่งร้องไห้กัน สู้ทุกเรื่องทั้งข้างนอกข้างใน จะอยู่จะไป จะถอยไม่ถอย พอผ่านปีที่สี่ก็เริ่มเข้าที่ แต่ก็ถอยไม่ได้เพราะด้วยความมีฉันทะและเราเป็นคนแบบนี้ด้วย อีกอย่างเราก็มีเป้าหมายและบอกตัวเองตลอดว่าเป้าหมายของเราเพื่อใครหลายคน”

ครู วิเชียรยืนยันตลอดมาว่า เขาไม่ได้อยากเข้ามาเสวยสุข เขาเพียงต้องการให้เป้าหมายที่ใฝ่ฝันเกี่ยวกับระบบการศึกษาไทยได้บรรลุ แล้วเขาก็จะไป...

เป้าหมายของเขาก็คือ ถ้าโรงเรียนหนึ่งพันแห่งเปลี่ยนได้ ก็จะทำให้โรงเรียนในชนบทอีก 3 หมื่นแห่งเปลี่ยนได้ ครูวิเชียรเชื่อว่า รูปแบบการขยายผลเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหากโรงเรียนที่มาดูงานแล้วนำไปพัฒนาต่อจากบริบทของตัวเองก็จะไปได้เร็ว มาก

“ผมมั่นใจอย่างนั้นเลยนะ เพราะเห็นแววตาคนที่มาอบรมด้วยความตั้งใจ ทุกคนมาไกลมาก มาด้วยฉันทะพอมาเห็นแล้วเอากลับไปผสมผสานกับสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของครูก็ จะทำให้การศึกษาเปลี่ยนได้”

“ที่สำคัญไม่จำ เป็นต้องบอกว่ามาจากผมก็ได้ ผมเพียงจุดประกาย เมื่อมันผสมผสานกับความเข้าใจความรู้เดิมของคุณก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับ ตัวเด็ก ที่สำคัญไม่ใช่แค่เจตนาหรืองบประมาณอย่างเดียว เราควรต้องหาผู้ใหญ่ที่มีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนอะไรด้วยและเขาเห็นด้วยกับเรา”
ครู วิเชียรบอกว่า ต่อไปนี้เขาไม่อยากให้เรียกการศึกษาแบบนี้ว่า การศึกษาทางเลือก แต่เป็นอีกอย่างที่ทำให้เรามีความหวัง เป็นความจริง

“ถ้า เป็นทางเลือกก็เหมือนกับเป็นการสมมุติ หรือเมื่อเป็นทางเลือกนั่นก็จะกลายเป็น เลือกก็ได้ ไม่เลือกก็ได้ ใช่ไม่ใช่ก็ไม่รู้ เราอาจจะต้องเรียกเสียใหม่ว่า การศึกษาทางหลัก”


เขาเชื่อว่า ทุกวันนี้คนในโลกทุกข์มาก ไม่ใช่เพราะโลกไม่มีทรัพยากร โลกมีทรัพยากรให้เพียงพอ แต่เรื่องจิตวิญญาณและจิตใจมีน้อย
“อัน นี้เรื่องจริง อีกยี่สิบปีข้างหน้าเราจะเจอเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก แต่สำหรับเด็กที่เติบโตมากับการศึกษาแบบนี้เขาจะรู้จักความพอดี พอใจกับความเป็นไปของชีวิตและจะอยู่อย่างมีความสุข” นั่นคือสิ่งที่ครูวิเชียรคาดหวัง

แน่นอนว่า ระบบการศึกษาแม้จะเป็นเอกชนก็ยังต้องเกี่ยวข้องกับรัฐ หรือแม้แต่โครงสร้างทางการเมืองต่างๆ อะไรที่ทำให้ครูวิเชียรเห็นต่างออกไป และไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นมาบั่นทอนการพัฒนาการศึกษาเพื่อเด็กๆ ของเขา

“ถ้า มองในส่วนของกระทรวงศึกษา หรือนักการเมือง เขาทำได้ก็คือ นโยบาย แต่ก็ต้องมีคนชงใช่ไหมครับ ทีนี้คนชงเหล่านั้นถ้าชงด้วยจรรยาบรรณ ชงด้วยสติปัญญาก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งแต่
ถ้าชง เพื่อความอยู่รอดของตัวเองก็อีกแบบหนึ่ง แล้วยิ่งรัฐมนตรีเองก็ไม่ได้มีความรู้พื้นฐานเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ผิวเผินมากแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำหรับผม
“ผม ชอบหนังเรื่อง แพ็ทช์ อดัมส์* ที่อาเธอร์ เมดิสัน นักคณิตศาสตร์จิตป่วยต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาล เขาจะชอบชูสี่นิ้วแล้วถามว่าเท่าไหร่ คนที่เห็นก็จะตอบว่าสี่นิ้ว แกก็จะด่าคนนั้นว่า โง่บัดซบที่สุด คิดได้แค่นี้หรือ ต่อมา แพ็ทช์ อดัมส์ เข้ามาในโรงพยาบาลนี้ก็ถูกถามเหมือนกัน แต่สุดท้ายอาเธอร์ เมดิสันก็เฉลยให้เขาฟังว่า ให้มองที่ตาผม อย่างมองที่นิ้วผม แล้วให้ตอบว่า เห็นกี่นิ้ว”


“นั่นก็คือ ถ้าเรามองปัญหา เราจะเห็นแต่ปัญหา จะไม่เห็นทางออก ผมถึงบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา สำหรับผมอะไรก็ตามไม่ใช่ปัญหา เพราะผมไม่ได้มองที่ปัญหา ผมมองเป้าหมายและสิ่งที่ทำ ในที่สุดสิ่งใหม่ๆ มันจะเกิดขึ้นเอง และการเมืองไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืนแต่แนวคิดของเรา การกระทำของเรามันจะยังอยู่ต่อไป คนรุ่นต่อๆไปก็ยังได้เรียนรู้ ”

*Patch Adams , 1999 ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของนายแพทย์แพตช์ ฮันเตอร์ อดัมส์ จากคนไข้ที่มีปัญหาทางจิตจนเกือบจะฆ่าตัวตาย แต่เมื่อเขาเข้าไปในโรงบาลบ้า เขากลับรู้ว่าตนเองยังมีประโยชน์และช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ เขาจึงเบนเข็มชีวิตตนเองมาเป็นหมอ

พลังแห่งวรรณกรรมและการเข้าถึงชีวิต
ครู วิเชียรเป็นที่รู้จักในอีกบทบาทหนึ่งคือ นักเขียน เคยเขียนเรื่องสั้นลงพิมพ์ในนิตยสารต่างๆ มีผลงานทั้งนิยายและวรรณกรรมเยาวชนหลายเล่ม แต่เขาบอกว่า เขาเป็นคนรักการอ่าน หนังสือหลายเล่มที่เขาเลือกอ่านก็ได้ส่งผ่านพลังบางอย่างมาสู่การกระทำของ เขา


“ผมเพิ่งอ่าน เจ. กฤษณมูรติ* ก่อนจะมาเริ่มทำโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ไม่นาน”


มี วรรณกรรมหลายต่อหลายเล่มที่มีอิทธิพลต่อครูวิเชียร ไม่ว่างานของ ยะซุนาริ คาวาบาตะ* นักเขียนชาวญี่ปุ่นที่คนไทยรู้จักดี หรืองานวรรณกรรมคลาสิคของรัสเซียของ ลีโอ ตอลสตอย*

“ผม อ่านบาปของนักบุญและเรื่องอื่นๆ ทุกเล่มกระทบมาก อีกเล่นหนึ่งก็คือ เพื่อนยากของ จอห์น สไตล์แบค อันนี้ลึกซึ้ง เข้าถึงสัญชาติญาณ อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์จริงๆ ถ้าผมเป็นอย่างตัวละครในเรื่องก็คงทำเช่นเดียวกัน เวลาเราอ่านเราจะรู้สึกดำดิ่งไปกับมัน ดำดิ่งสู่ข้างในเรา ทำให้เราใคร่ครวญและเกิดปิ๊งเข้าใจอะไรสักอย่างขึ้นมา”


*เจ.กฤษณมูรติ นักปราชญ์ชาวอินเดีย มีผลงานที่โดดเด่นเกี่ยวกับชีวิต การศึกษามากมาย ที่คนไทยรู้จักดีคือหนังสือชื่อ แด่หนุ่มสาว

* ยาสุนาริ คาวาบาตะ เป็นชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม มีผลงานที่เป็นที่รู้จัก เช่น ยูคิกูนิ (Yukiguni: เมืองหิมะ), เซ็มบะสุรุ (Senbazuru: กระเรียนพันตัว)

* ลีโอ ตอลสตอย นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ชาวรัสเซีย ผลงานส่วนใหญ่ของเขาสะท้อนให้เห็นในเรื่องการแสวงหาความจริงสูงสุดในการดำรง ชีวิตของมนุษย์

ครู วิเชียรเล่าว่าเขาไม่ใช่คนชอบอ่านมาก่อน ตอนเรียนปีสุดท้ายเขายังเที่ยวเละเทะอยู่เลย แต่เมื่อไปเป็นครูครั้งแรก ปรากฏว่า ที่โรงเรียนนั้นเงียบมาก เมื่ออยู่คนเดียวก็เริ่มหยิบหนังสือมาอ่าน และหนังสือชุดแรกที่เขาอ่านคือ ต่วยตูน หลังจากนั้นเขาก็เริ่มอ่านนิตยสารWriter
“ไม่ ใช่ว่าชอบแต่นิตยสารเล่มนั้น แต่มันจุดประกายให้ผมเพราะในนั้นมีวิจารณ์หนังสือ มีเรื่องราว และหนังสือแนะนำดีๆให้อ่าน ผมเลยซื้อทุกเล่ม และเริ่มอ่านวรรณกรรมต่างประเทศทางฝั่งยุโรป และอเมริกา”

“ขณะ ที่อ่านเราจะเห็นและเริ่มใคร่ครวญสิ่งที่ผ่านมาเริ่มรู้อะไรผิด อะไรควรไม่ควร ขณะเดียวกันเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง แต่เราบอกใครไม่ได้ เพราะถ้าบอกก็จะเหมือนไปสั่งสอนมันทื่อไป มันไม่เข้าลึก เพราะฉะนั้นจะสื่อออกมา ก็ต้องสื่อในเชิงวรรณกรรม เอาความหมายซ่อนอยู่ใต้บรรทัดไม่ใช่ตรงข้อความ ต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในบรรทัด เรามีความสุขที่จะสื่อสารอย่างนั้นด้วย จนสุดท้ายกลายเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดที่ผมต้องการจะทำต่อไป”


จาก ความเชื่อมั่นและประสบการณ์ที่เขาได้รับผ่านงานวรรณกรรมต่างๆ ทำให้ครูวิเชียรใฝ่ฝันว่า งานเขียนจะเป็นงานสำคัญชิ้นสุดท้ายที่เขาอยากทำมากที่สุดในชีวิต

“ผม เคยบอกคนหลายคนว่าตั้งใจจะทำงานเขียนแบบเต็มเวลา ผมมีความเชื่อมั่นว่าจะทำได้ วรรณกรรมทำให้ผมเปลี่ยนและเปลี่ยนในแบบที่เราไม่ต่อต้าน ถ้าเป็นคำสอน หรือพระมาสอน แบบนี้มันตรงเกินไปแล้วมันเกิดแรงต้าน ไม่อยากเปลี่ยน เกิดอาการปฏิเสธ แต่ถ้าผ่านวรรณกรรมมันละเมียดละไม อารมณ์วรรณกรรมค่อยๆ ดำเนินไป ในที่สุดก็เปลี่ยน นี่คือเป้าหมายสุดท้ายในชีวิต คือภูเขาลูกใหญ่ในชีวิตที่อยากจะปีน”

ครูวิเชียรบอกว่า ภาพสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น เขาจะเร่ร่อนและเขียนหนังสือ และสิ่งที่เขียนจะต้องมีผลต่อจิตวิญญาณของมนุษย์

“พูด ได้ว่าแม่แบบของผม คือ ลีโอ ตอลสตอย ที่สร้างประสบการณ์เหล่านี้ให้ผม คือถ้า ตอลสตอยตายในแบบอื่นก็อาจจะไม่มีค่า ต้องตายแบบที่เขาตายจึงจะมีค่าต่อมนุษย์ และทำให้มนุษย์อีกเป็นล้าน ๆ คนมีจิตวิญญาณที่สูงขึ้น”

....................

ถามว่า อะไรคือความสุขในชีวิตของ ครูวิเชียร ครูนอกกะลา ที่พาโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาก้าวสู่ความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

ครูนอกกะลาคนนี้ยืนยันเพียงว่า “ความธรรมดา ขอให้ธรรมดา”
*ดังเพลงที่แต่งเอง  "คนธรรมดา"

“ความ รู้สึกธรรมดาจะเป็นความสุขในชีวิตผม ผมอยากจะใช้ชีวิตแบบไม่มีกฎเกณฑ์อะไร บางคนอาจจะบอกว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ดีแต่ถ้าผมอยากทำผมก็ทำ แต่รู้ตัวดีว่าข้างในรู้สึกอะไร พยายามให้มีสติอยู่กับตัวเองเพื่อให้รู้ว่าเป็นอะไรหรือกำลังทำอะไรอยู่ไม่ ได้ต้องกะเกณฑ์ตายตัวว่าอันนี้ดีอันนั้นไม่ดี ดีหรือไม่ดีผมเชื่อว่ามีองค์ประกอบจากเจตนาด้วย อย่างคนสองคนทำสิ่งเดียวก็อาจจะด้วยเจตนาที่ต่างกัน และเจตนาก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่แต่ละคนสั่งสมมาต่างกันด้วยนะ”

เรื่อง หนึ่งที่เขามักจะบอกผู้เข้าอบรมที่โรงเรียนเขาเสมอๆ ว่า เป้าหมายจริง ๆ ขององค์กรหรือบุคคลมีอยู่สองสิ่งเท่านั้นคือ เป้าหมายดีงาม กับเป้าหมายชั่วร้าย เช่น โรงเรียนเราเป้าหมายสูงสุดคือพยายามให้การศึกษาที่ดีที่สุด พยายามหล่อหลอมเด็กให้ดีที่สุด พยายามใช้ทรัพยากรภายในประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อเด็กให้มากที่สุด เป้าหมายชั่วร้ายคือเราต้องหาสตางค์ เราต้องอยู่ให้ได้


“ใน ที่นี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่คุณสั่งสมมา ในตัวคุณมีเป้าหมายตัวไหนมากกว่ากัน ถ้าฉันอยากมีบ้านสองหลัง อยากอยู่อย่างสุขสบาย ในขณะเดียวกันฉันก็ทำประโยชน์ให้แก่องค์กรอยู่เช่นกัน ก็เหมือนกับผมถามว่าในตัวคนคนหนึ่งเป้าหมายอันไหนมันจะใหญ่กว่ากัน แล้วเราติดกับตรงไหนมากกว่า เพราะฉะนั้นแม้สิ่งที่ทำจะเหมือนกันแต่เจตนาก็ต่างกันแล้ว” ครูวิเชียรสรุป

แล้วสำหรับเขาอะไรที่ไม่ทำให้เป้าหมายชั่วร้ายเติบโต ในวันที่มีอำนาจ หรือโอกาสจะแสวงหาความสุข หรือประโยชน์ส่วนตัวได้มากมาย

วิเชียรตอบสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “ผมก็วาง”


“ถ้า พูดถึงเฉพาะตัวผมเอง ผมไม่อยากได้อะไรเลย นอกจากเวลาที่จะไปเขียนหนังสือ การเสวยสุข หรืออำนาจไม่ใช่เป้าหมายของผม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของผมเลย และมีคนสามารถเข้ามาแทนผมได้”


“ต้องย้อนมาตอนที่ผมพูดถึงว่า ผมเห็นความตายตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ผมรู้ตัวเองว่าจะต้องตายแล้ว ผมนับถอยหลังวันตายแล้ว”

“ส่วน การมีอำนาจทรัพย์สินเงินทอง ที่จริงทำอย่างนั้นก็เป็นการทำให้ตัวเองรู้สึกดีนะ เพราะถ้าทำให้ตัวเองรู้สึกดีเราก็จะอยู่อย่างมีความสุขได้ แต่บังเอิญว่าสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีนั้นเป็นการทำเพื่อสิ่งอื่นซึ่งก็ยัง เป็นเป้าหมายที่ดีอยู่ แต่บางคนเป้าหมายที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีอาจจะเป็นการที่ต้องมีสมบัติร่ำรวย นั่นก็โอเคสำหรับเขา เพราะเขายังไม่เห็นผ้าผืนใหญ่ที่คลุมเราอยู่เหมือนที่ผมเห็นนั่นก็คือ ความตาย ทำให้เขาไม่หยุดจากตรงนั้น แต่มันบอกชัดๆ ไม่ได้ ที่จริงไม่มีอะไรมากหรอก คำตอบคือ มันก็ดำเนินไปของมันอย่างนั้นเอง” ครูนอกกะลาสรุป
..................................



เขียนโดย ธนิษฐา แดนศิลป์


จากหนังสือ “คน(ไม่)ธรรมดา”