ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จิตวิญญาณอิสระ



    เมื่อพยายามครอบครองสายลมโดยเอาภาชนะครอบมันไว้ เราจะสูญเสียมันไป  ลมต้องเป็นอิสระ  ลมต้องได้พัด เราจึงจะรู้สึกได้ว่ามีมันอยู่

    จิตวิญญาณของมุษย์ก็เป็นเช่นกัน มันจะปรากฎขึ้นเมื่อปราศจากสิ่งที่ครอบไว้
    จิตวิญญาณของเราทุกคนมีความเป็นอิสระแล้วตั้งแต่ต้น   เราปรากฏขึ้นมาในจักรวาลพร้อมกับความบริสุทธิ์ผุดผ่อง  ไม่มีความรู้สึกว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี   ไม่มีสิ่งใดชอบหรือไม่ชอบ  ปราศจากการรับรู้ว่าสิ่งใดมีอยู่หรือไม่มีอยู่  ไม่มีแม้แต่เจตจำนงใดๆ
    แต่แล้วทันทีหลังจากเกิด เราจะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยความรัก   ความรักอันอบอุ่นได้ล้อมรัดเราไว้ในชั้นแรก  ชั้นถัดมาคือกำแพงของความคาดหวัง  พ่อแม่พี่น้องที่ได้มอบความรักและให้การกระทำทั้งหมดเพื่อให้ผู้ที่มาใหม่เติบโตเป็นคนดีพอที่จะเลี้ยงดูหรือตอบแทนในโอกาสถัดมา   พ่อแม่  ครู ผู้สอนศาสนาหรือคนรอบข้างมักอยากให้ผู้ที่มาใหม่เป็นอย่างนั้นหรือทำอย่างนี้อย่างที่ตนเองคิดหรือตนเองต้องการ  มีความหวังลึกๆ ว่าจะสลักเสลาเขาให้ได้รูปลักษณ์อย่างที่ตนเองจิตนาการ   ความรักจึงมาพร้อมกับเงื่อนไขของการอยากได้กลับคืน   เด็กๆ  จึงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับโซ่ตรวนของความคาดหวัง
    คนมาก่อนได้ก่อกำแพงของความกลัวขึ้นโดยกำหนดมาตรฐานของบาปและการลงโทษ  การลงโทษสุดแต่จะสรรหาวิธีตั้งแต่การเปรียบเทียบ  การตีค่า  การกล่าวหา ประณาม  การโบยตี ไปจนถึงการตกนรก จนภาพของความทุกข์จากการลงโทษได้ฝังอยู่ในจิตใจลึกๆ ของผู้มาใหม่  ผู้มาก่อนยังได้แสดงพลังอำนาจให้คนที่มาใหม่กลัวยิ่งขึ้นด้วยการหักหาญผู้ที่อ่อนแอกว่าเพื่อการครอบครองโดยทำสงคราม  และการออกกฎหมายเพื่อควบคุม   ความกลัวทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นนั้นเพื่อให้ผู้มาใหม่ได้เชื่องเชื่อ
    กำแพงของความเกลียดชังได้ก่อขึ้นตามมา   ผู้คนล้อมกลุ่มก้อนของตัวเองไว้ด้วยกำแพงของศาสนา  กำแพงของเผ่าพันธุ์เชื้อชาติ  กำแพงของขอบเขตประเทศ  กำแพงของภาษา  กำแพงประเพณีวัฒนธรรม และ อื่นๆ อีกหลายชั้น  
    เราจึงถูกล้อมด้วยกำแพงห้องอันคับแคบ  บ้านอันคับแคบ  รั้วบ้านอันคับแคบ  เมืองอันคับแคบ และประเทศอันคับแคบ  ทั้งที่โลกและจักรวาลอันกว้างใหญ่มีพื้นที่มากพอที่จะให้เราแต่ละคนเป็นอิสระ
      (รายละเอียดโปรดติดตามในหนังสือ.. การเดินทางนอกกะลา) 
การสลัดหลุดต้องอาศัยความกล้าหาญ อย่างแรงกล้า  
นี่เป็นบางประสบการณ์ของคุรุOsho
ในช่วงมัธยมปลายข้าพเจ้าเคยเข้าเรียนวิชาคณิตศาสตร์   ในวันแรกที่ข้าพเจ้าเรียน  อาจารย์เพียงแค่แนะนำหัวข้อวิชาเท่านั้น  ข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกจากห้องไป  อาจารย์ได้พูดว่า "เจ้ากำลังจะไปไหนโดยที่ไม่บอกกล่าว? ข้าจะไม่อนุญาตให้เจ้ากลับเข้าห้องอีก"  ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า "ผมเองก็ไม่คิดว่าจะกลับมาอีก อย่ากังวลไปเลย นี่คือสาเหตุที่ผมไม่ได้บอกท่าน
                       

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จิตไหว-ใจสะเทือน


วันหนึ่งผมได้ email จากครู  กับเหตุการณ์เล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่สำหรับโรงเรียนฯ เราพยายามกันเป็นแรมปีเพื่อให้นักเรียนคนหนึ่งหายจากอาการ School phobia

สวัสดีค่ะ  คุณครูทุกท่าน... ครูน้อยมีเรื่อง  เด็กชายบูม  จะมาเล่าสู่คุณครูฟังค่ะ...
เมื่อวาน (วันพฤหัสฯ)  ตอนเช้ายายหงวน (น้องยาย) มาส่งบูมและพี่สตางค์ที่โรงเรียน
บูมยอมลงจากรถโดยไม่ร้องให้งอแง  และเดินมากับพี่สตางค์แต่ไม่ถึงตึกอนุบาลมาถึงแค่ใต้ต้นไผ่ (ข้างห้อง ป.1) และอยู่ตรงนั้นจนถึงเวลาเพื่อนเข้าแถว (ก่อนหน้านั้นมีคุณครูหลายคนพยายามคุยด้วยและทักทาย  เช่น  ครูแสง  ครูภร  ครูน้อย  ครูแป้ง  ครูใหญ่  พี่แต้ว ฯลฯ  สำหรับครูบางคนบูมจะคุยด้วยนิดหน่อย  บางคนบูมเดินหนี  และบางคนเขาก็เฉยชาแสร้งไม่ได้ยินและไม่สนใจ)
     หลังจากเพื่อนเข้าแถวเสร็จ  ครูใหญ่และครูน้อยเดินตามหาบูมเพื่อจะพูดคุยกับเขาถึงชิ้นงานสนุกๆ ที่เขาจะได้ทำในวันนี้ (ใช้ชิ้นงานเพื่อดึงดูดให้เขาเข้ามาใกล้เรามากขึ้น)
    มาที่ร่มไผ่ที่เขาเคยอยู่กลับไม่เจอ  ไปเจอเขาวิ่งหลบอยู่ตรงพุ่มไม้ทางเข้าหน้าโรงเรียน  ครูใหญ่ให้พี่ฮ้อ ป.4 ไปคุยกับบูมก่อนที่ครูใหญ่จะเดินเข้าไปหา  ระหว่างนั้นครูน้อยกับใบตอง (เพื่อน อ.2) เดินไปเก็บก้อนหินเพื่อนำมาเป็นสื่อให้บูมมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมวันนี้
    ครูใหญ่พาบูมเดินมาหาครูกิ๊บและเพื่อนๆ อนุบาล2 ถามเด็กๆ เกี่ยวกับกิจกรรมที่เด็กๆ ทำเมื่อวาน  เด็กๆ บอกว่าได้เป่าสีสนุกมาก  ครูใหญ่เล่าให้เด็กๆ ฟังเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้จากการเป่าสี  และถามบูมว่า "ได้เป่าสีหรือยัง?"   บูมบอกว่า "ยังไม่ได้ทำ"  (เนื่องจากในวันอังคาร คุณตามาส่งและบูมร้องให้  ตาจึงพากลับบ้านด้วย)  ครูใหญ่จึงถามเพื่อนๆ ในชั้นเรียนว่า  "อยากให้บูมมาเรียนกับเพื่อนๆ ไหม?"
     เด็กทุกคนตอบว่าอยากให้บูมมาเรียนด้วย
  "บูมอยากมาเรียนกับเพื่อนๆ ไหมล่ะ"  ครูใหญ่หันไปถามบูม  บูมพยักหน้าตอบรับ
    "เด็กๆ อยากให้บูมเข้าแถวตรงไหนดี" ครูใหญ่ถามพี่นักเรียนอนุบาล 2  เด็ก ๆ ทุกคนยินดีให้บูมเข้าแถวข้างหน้า  ครูใหญ่บอกบูมว่าวันนี้จะได้เป่าสีกับครูน้อยและครูกิ๊บ  ครูทุกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันต่างก็เห็นแววตาที่มีความสุขที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากเพื่อนๆ
     ครูน้อยกับใบตอง(เด็กผู้ชาย อ.2) ยืนดูเด็กๆ พูดคุยกับครูใหญ่  ในมือถือก้อนหินกำไว้แน่นทั้งสองคน  ครูใหญ่ถามว่า วันนี้ครูน้อยจะพาเด็กๆ ทำอะไร  ครูน้อยบอกว่า เมื่อสักครู่ไปเก็บก้อนหินกับพี่ใบตองเพื่อจะพาเด็กๆ ต่อเป็นรูปต่างๆ และเก็บมาฝากเพื่อนๆ ในห้องทุกคนคนละ  1  ก้อน  บูมช่วยครูน้อยถือ ก้อนหินแบ่งกันคนละกำมือ  ครูใหญ่บอกบูมให้ดูแลให้ดีถ้าหายไป 1  ก้อน  เพื่อนจะไม่ได้  1  คน  ท่าทางบูมมีความสุข  ยิ้ม  ร่าเริง  หลังจากนั้นแถวเด็กผู้ชายจึงเดินตามหลังครูใหญ่โดยมีบูมเป็นหัวขบวนรถไฟวันนี้
    กิจกรรมพัฒนาร่างกายและสุนทรียะ  ครูน้อยพา เด็กๆ ทำกิจกรรมร้องเล่นเต้นสนุก  บูมยังดูแลก้อนหินโดยเก็บใส่กระเป๋า กางเกงและตั้งใจทำกิจกรรมดีมาก
    เขายังเอาก้อนหินมาให้ดูทุกครั้งที่ ครูเอ่ยถามว่าก้อนหินยังอยู่ครบหรือปล่าว?? แต่วันนี้เขายังไม่ได้แจกก้อนหินให้เพื่อน  เพราะครู น้อยไปช่วยครูต๋อยจัดอบรมให้ครูปฐมวัยจากโรงเรียนต่างๆ
    เมื่อเจอครู น้อยในตอนเย็น   บูมรีบวิ่งเอาก้อนหินมาให้ดูและบอกว่ายังไม่ได้ แจกเพื่อนและยังไม่ได้ต่อรูปภาพก้อนหิน   ครูน้อยบอกบอกความจำเป็นที่ไม่ได้พาเด็กๆต่อก้อนหิน  แต่ดูเหมือนบูมจะเข้าใจว่าครูน้อยไม่ว่างจริงๆ และครูกิ๊บต้องอยู่กับเด็กๆ หลายคนเลยไม่ได้พาทำกิจกรรมดังกล่าว
   "พรุ่งนี้ครูน้อยอยู่กับเด็กๆ ทั้งวัน  ครูน้อยจะพาต่อนะคะ  บูมดูแลก้อนหินอย่าให้หายไปนะ  เดี๋ยวเพื่อนจะได้ไม่ครบ  และพรุ่งนี้เอามาด้วยนะ"  "ครับ" บูมตอบอย่างภาคภูมิใจ
    แล้ววันนี้บูมก็อยู่ในห้องได้ทั้งวัน  โดยไม่มีอาการหวาดกลัวครูหรือโรงเรียน จนถึงเวลากลับบ้าน  และดูเขาจะมีความสุขมากตอนที่ได้เป่าสีในในช่วงเวลาพักกลางวันซึ่งครูจัดให้เป็นพิเศษ  เพื่อนๆ หลายคนมาให้กำลังใจบูมและแนะนำการเป่าสี
    วันนี้ (วันศุกร์)  บูมมาโรงเรียนแต่เช้า  เขารีบวิ่งมาหาครูน้อยพร้อมกับโชว์ก้อนหิน  บอกว่า "ผมดูแลก้อนหินไม่หายซักก้อนเลย"  (ก้อนหินยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านขวาเหมือนเดิม)  ครูน้อยบอกว่าวันนี้จะพาต่อ ก้อนหินแต่ต้องถามกับใบตองด้วยเพราะที่เหลืออีกส่วนหนึ่งอยู่กับใบตอง   แต่โชคร้ายค่ะ  (...สำหรับครูน้อยคิดว่าคงโชค ดีค่ะ) เพราะใบตองบอกเพื่อนๆ ทุกคนว่าลืมเอาก้อนหินมา  วันนี้เลยอดเล่นอีกแล้ว  ครูน้อยเลยบอกบูมว่า "งั้นครูน้อยฝากบูมดูแลก้อนหินให้เพื่อนๆ ในวันเสาร์-อาทิตย์ และนำมาใหม่วันจันทร์นะคะ"  และให้ความสำคัญกับบูมโดยให้ช่วยเตือนใบตองนำก้อนหินมาในวันจันทร์ด้วย  พวกเราจะได้เล่นก้อนดินด้วยกันทุกคน
   ....ในสองวันนี้บูมอยู่ในชั้นเรียนกับเพื่อนๆ ตลอด  แถมยังแบ่งปันข้าวกระยาสาทรให้เพื่อนๆ ได้กินกันด้วยนะคะ... ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่สองวัน  แต่สำหรับครูน้อยและครูกิ๊บมันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด  ที่สามารถทำให้เด็กคนหนึ่งที่กลัว โรงเรียนสามารถเผชิญกับปัญหาได้ด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน

เรื่องเล่าเล็กๆ บางทีก็อาจทำจิตถึงกับไหว ทำให้ใจต้องสะเทือน

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พื้นที่ปลอดภัย



หนังเรื่อง  Good Will Hunting  ที่มีชื่อเรื่องภาษาไทยว่า  "ตามหาศรัทธารัก"  นั้น  เป็นเรื่องราวของ  วิลล์ฮันติ้ง  ภารโรงหนุ่มของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง   เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์คือความเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์  สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ไม่มีนักศึกษาคนใดทำได้  เขาพยายามปกปิดความสามารถของตัวเอง  เมื่อศาสตราจารย์ที่สอนมองเห็นศักยภาพนั้น และพยายามดึงเขาเข้ามาปลูกปั้นให้เป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่  แต่เขากลับไม่สนใจ  เอาแต่มั่วสุ่มกับเพื่อนอันตพาลซึ่งมีความภักดีต่อกัน  และคอยโกหกทุกคนเพื่อหลบหลีกเรื่องราวต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ลึก  เมื่อเขารักกับใครสักคนเขาจะเป็นฝ่ายทิ้งเธอไปเสียก่อนเพราะกลัวการปฏิเสธหรือถูกทิ้ง  จนเมื่อเขาได้พบจิตแพทย์  ฌอน  แม็กไกว์  ที่มี ปมจากพราก ในวัยเด็กคล้ายกัน  เขาจึงได้คลี่คลายปมในวัยเด็ก  แล้วเขาก็พบว่าแท้จริงตัวเองต้องการอะไร 

เด็กนักเรียนที่มีอาการ School Phobia  ก็มักจะมาพร้อมอาการโกหก อาการนี้มีสาเหตุจาก ปมจากพรากที่ไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกวิธีจนทำให้ปมนั้นแสดงอาการรุนแรงมากขึ้น  เขามักจะบอกคนที่บ้านว่า ไม่มีการบ้าน  เพื่อนแกล้ง ครูไม่อยู่  หรือ ไม่สบาย เพื่อจะไม่ให้ได้ไปโรงเรียน  จนบางครั้งอาจแสดงอาการไม่สบายออกมาเป็นอาการป่วยจริงๆ  และมักโกหกเพื่อนหรือครูที่โรงเรียนว่าเขาประสบปัญหามากมายในชีวิตที่เป็นอุปสรรคต่อการมาโรงเรียน เช่น ยากจน ต้องคอยดูแลพ่อที่ป่วยหนัก การเดินทางลำบาก เป็นต้น    

  เฟรดเดอริค  นิชเช่  พูดไว้ว่าคนเราไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้  หากไม่โกหก  สำหรับคนเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์เขาพูดได้ถูกต้อง  ทำไมคนถึงไม่สามารถอยู่ได้หากไม่โกหก?  การโกหกเปรียบได้กับกันชน  มันเป็นตัวกันกระแทก  การโกหกหลอกลวงทำหน้าที่คล้ายกับน้ำมันหล่อลื่น  ท่านไม่ไปแย้งหรือปะทะกับคนตลอดเวลา  ท่านยิ้้มและคนอื่นก็ยิ้ม นี่คือน้ำมันหล่อลื่น ท่านอาจจะรู้สึกโกรธอยู่ภายใน ท่านอาจจะเต็มไปด้วยความเดือดดาล แต่ท่านก็พูดกับคนอื่นด้วยท่าทีที่รักษาน้ำใจ  เพราะเรารู้ว่าการแสดงออกถึงความเดือดดาลอาจนำท่านไปสู่ความยุ่งยาก
     อาการ School Phobia อาจจะเกิดได้ตั้งแต่ อนุบาลจนถึงเรียนปริญญาซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไป  แต่ที่เหมือนกันคือจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของคนคนนั้นอย่างยิ่ง  ขากแรงจูงใจต่อการเรียน ส่งผลให้ ไม่เข้าเรียนจนไม่มีสิทธิสอบ ติดศูนย์ ติดรอ หลายๆ วิชา และ อีกอย่างอาจจะส่งผลด้านบุคลิกภาพอย่างยิ่งถ้าเขาติดโกหกจนเป็นนิสัย จนอาจส่งผลให้ชีวิตล้มเหลว
     อาการนี้แก้ไขได้ไม่ยากถ้าครูและผู้ปกครองที่เข้าใจต้นเหตุแล้วร่วมกันใช้ วิธีปรับที่เหมาะสม ขณะเดียวกันต้องให้เขามีพื้นที่ปลอดภัยเพียงพอ   ผมเชื่อว่าด้วยสัญชาตญาณมนุษย์จะไม่ยอมให้ตัวเองจนมุมจนล้มเหลว แต่นั่นขึ้นอยู่กับว่าการรุกไล่ของอีกฝ่ายจะทำด้วยจังหวะลงตัวพอดีเพียงใด  เป็นรุกไล่เพื่อการปกป้องหรือการทำลาย