ท่ามกลางแสงแดดร้อนเปรี้ยงตอนแปดโมงครึ่ง เด็กๆ ยืนอาบเหงื่อชุ่มโชกเพื่อทำกิจกรรมหน้าเสาธง
ทั้งที่ครูส่วนใหญ่ยืนดูอยู่ในร่มเพราะกลัวใบหน้าเป็นฝ้า เด็กหลายคนแสดงอาการหงุดหงิดเบื่อหน่ายรำคาญใจ บางคนยังง่วงหาว บางคนหาทางหลบเลี่ยงจากความทุกข์ทรมารนี้โดยการมาให้สาย
หนีแถว หรือไม่ก็โดดเรียนวิชาแรกแม้จะรู้ว่าถึงอย่างไรก็ไม่อาจหนีพ้นทัณฑกรรมตามแบบฉบบับของกระทรวงฯ
หรือของโรงเรียนไปได้แต่พวกเขาก็อยากลองเสี่ยงดู
เมื่อถึงเวลาร้องเพลงชาติเด็กบางคนก็เปล่งเสียงร้อง
บ้างก็ทำแค่เสียงงึมงำในลำคอในท่วงทำนองอันเคยชินแบบที่อยากให้มันเสร็จๆ ไป เสร็จจากกิจกรรมทุกอย่างก็เป็นคิวของครูเวรขึ้นอบรมสั่งสอนอย่างยาวนานเท่าที่ครูคนนั้นจะรู้สึกสาแก่ใจ โดยที่ไม่เคยนึกถึงเด็กๆ
สักนิดว่าจะมีสักคนที่ยืนฟังด้วยความซาบซึ้งพึงใจ
นี่หรือที่เราเรียนว่าการปลูกฝังความรักชาติ กระทรวงศึกษาธิการหรือโรงเรียนทำได้แค่นี้หรือ ครูกลัวกฎระเบียบอันคร่ำครึเสียจนไม่รู้ว่าจะทำให้ดีกว่านี่ได้อย่างไรเชียวหรือ เราไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ว่าวิธีแบบนี้ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่
อาจจะยากถ้าจะยุบกระทรวงฯ เสีย
แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะเปลี่ยน
โดยตั้งเจตนารมณ์ให้ชัดและจริงว่าเราจะได้ฉกฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนได้มารวมตัวกันเพื่อทำให้เกิดสิ่งใด เปลี่ยนที่เข้าแถวให้สบายขึ้นถ้าเป็นไปไม่ได้ก็ปรับระยะเวลาให้สั้นลง เปลี่ยนบรรยากาศตอนทำกิจกรรมระหว่างครูกับเด็กให้เป็นมิตรมากขึ้น ปรับกิจกรรมให้มีความหมาย ประเมินดูด้วยใจทั้งใจเด็กใจครูอยู่เนืองๆ
เท่านี้ ทั้งเด็กๆ และครู ก็ได้รับการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีๆ
เท่านี้ ทั้งเด็กๆ และครู ก็ได้รับการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีๆ