ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กล่าวขอโทษเพื่อปลด “พันธนาการ”



ตื่นแต่เช้าราวตีสี่เช่นเคย เปิด facebook เจอข้อความจากครูคนหนึ่งที่ส่งมาหา  ซึ่งครูคนนี้เคยเป็นครูที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาราว 7- 8 ปีก่อน
“คิดถึงครูมากครับ ไม่รู้จำผมได้หรือเปล่า ผมเคยเป็นส่วนหนึ่งของลำปลายมาศพัฒนา  ครั้งหนึ่งที่เคยตัดสินใจทิ้งทุกคนไปเพียงเพราะความน้อยใจและอวดเก่ง ผมได้ละทิ้งความฝันของตนเองและละทิ้งเด็ก เพราะความคิดวูบเดียว  จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมต้องย้ำคิดให้ดีก่อนทำอะไรทั้งเป็นเครื่องเตือนสติในการทำงานเสมอมา โดยได้ครูเป็นแบบอย่างทั้งการกระทำและความคิด ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และอยากกราบขอโทษครูทั้งกาย วาจา อยากให้ครูรักษาสุขภาพเพื่อเป็นที่รักของเราตลอดไป”
น่าทึ่งที่ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว แต่เขากลับไม่ลืมกับความรู้สึกเสียใจครั้งกระโน้น  แต่ผมก็รู้สึกดีมากที่เขาได้ปลกปล่อยโซ่ตรวนที่พันธนาการใจไว้  ทันทีที่เรากล่าวคำขอโทษใจเราจะเป็นอิสระ
“ขอโทษ” เราถูกสอนให้พูดออกมาง่ายๆ เมื่อตอนเป็นเด็กจนมันเป็นแค่คำดาษดื่นธรรมดาๆ   แต่เมื่อโตขึ้นทำไมมันจึงเอ่ยออกมายากจัง คนส่วนใหญ่ที่โกรธเคืองกันอยู่ก็เพราะยังไม่มีใครกล่าวขอโทษ  บางทีจุดเริ่มต้นของความขัดเคืองกันนั้นเพียงเล็กน้อยแต่มันสะสมหนักแน่นให้เน่าเสียรุนแรงขึ้น เพียงแค่แต่ละฝ่ายรอการขอโทษ แต่ละคนแต่ละฝ่ายอาจจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกบนฐานความคิดของตนเองจึงคิดว่าไม่ใช่ธุระที่จะไปกล่าวขอโทษก่อน  อีกอย่างขณะที่เราค่อยๆ เติบโตขึ้นเราก็ค่อยๆ สะสมความเป็นตัวตนชัดเจนขึ้นใหญ่ขึ้น จนรู้สึกได้ว่าตนเองเป็นก้อนอิสระ สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองไม่ต้องง้อใคร ไม่ต้องพึ่งพาใคร อันตัวเราใหญ่นี้ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดก็ทำให้ใจปิด การกล่าวคำขอโทษก็ยากตามมา
ไม่มีวันสายสำหรับการกล่าวคำขอโทษ 7 ปีก็ไม่ได้ช้าไปกับการเติบโตทางจิตวิญาณสู่จิตใหญ่อันนอบน้อม จิตใหญ่อันอิสระจะเปิดรับสิ่งดีงามทั้งมวล
ผมมีเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้กล่าวคำขอโทษเช่นกัน แม้มันจะผ่านมาแล้วกว่าสิบปี หรือ บางเรื่องก็กว่ายี่สิบปี  จึงเป็นเวลาอันควรที่จะกล่าวขอโทษเพื่อปลด “พันธนาการ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น