ตื่นแต่เช้าราวตีสี่เช่นเคย เปิด facebook เจอข้อความจากครูคนหนึ่งที่ส่งมาหา ซึ่งครูคนนี้เคยเป็นครูที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาราว
7- 8 ปีก่อน
“คิดถึงครูมากครับ ไม่รู้จำผมได้หรือเปล่า
ผมเคยเป็นส่วนหนึ่งของลำปลายมาศพัฒนา ครั้งหนึ่งที่เคยตัดสินใจทิ้งทุกคนไปเพียงเพราะความน้อยใจและอวดเก่ง
ผมได้ละทิ้งความฝันของตนเองและละทิ้งเด็ก เพราะความคิดวูบเดียว
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมต้องย้ำคิดให้ดีก่อนทำอะไรทั้งเป็นเครื่องเตือนสติในการทำงานเสมอมา
โดยได้ครูเป็นแบบอย่างทั้งการกระทำและความคิด ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
และอยากกราบขอโทษครูทั้งกาย วาจา อยากให้ครูรักษาสุขภาพเพื่อเป็นที่รักของเราตลอดไป”
น่าทึ่งที่ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว
แต่เขากลับไม่ลืมกับความรู้สึกเสียใจครั้งกระโน้น แต่ผมก็รู้สึกดีมากที่เขาได้ปลกปล่อยโซ่ตรวนที่พันธนาการใจไว้
ทันทีที่เรากล่าวคำขอโทษใจเราจะเป็นอิสระ
“ขอโทษ” เราถูกสอนให้พูดออกมาง่ายๆ เมื่อตอนเป็นเด็กจนมันเป็นแค่คำดาษดื่นธรรมดาๆ
แต่เมื่อโตขึ้นทำไมมันจึงเอ่ยออกมายากจัง
คนส่วนใหญ่ที่โกรธเคืองกันอยู่ก็เพราะยังไม่มีใครกล่าวขอโทษ บางทีจุดเริ่มต้นของความขัดเคืองกันนั้นเพียงเล็กน้อยแต่มันสะสมหนักแน่นให้เน่าเสียรุนแรงขึ้น
เพียงแค่แต่ละฝ่ายรอการขอโทษ
แต่ละคนแต่ละฝ่ายอาจจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกบนฐานความคิดของตนเองจึงคิดว่าไม่ใช่ธุระที่จะไปกล่าวขอโทษก่อน
อีกอย่างขณะที่เราค่อยๆ
เติบโตขึ้นเราก็ค่อยๆ สะสมความเป็นตัวตนชัดเจนขึ้นใหญ่ขึ้น
จนรู้สึกได้ว่าตนเองเป็นก้อนอิสระ สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองไม่ต้องง้อใคร
ไม่ต้องพึ่งพาใคร อันตัวเราใหญ่นี้ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดก็ทำให้ใจปิด
การกล่าวคำขอโทษก็ยากตามมา
ไม่มีวันสายสำหรับการกล่าวคำขอโทษ 7
ปีก็ไม่ได้ช้าไปกับการเติบโตทางจิตวิญาณสู่จิตใหญ่อันนอบน้อม
จิตใหญ่อันอิสระจะเปิดรับสิ่งดีงามทั้งมวล
ผมมีเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้กล่าวคำขอโทษเช่นกัน
แม้มันจะผ่านมาแล้วกว่าสิบปี หรือ บางเรื่องก็กว่ายี่สิบปี จึงเป็นเวลาอันควรที่จะกล่าวขอโทษเพื่อปลด “พันธนาการ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น