ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บทสนทนากับ James Clark


ครูใหญ่สัมภาษณ์คุณเจมส์  เมื่อปี  2554
ครูใหญ่--      ประเทศใดที่คุณเจมส์อยากอยู่ที่สุดครับ
คุณเจมส์--     ผมไปอยู่มาหลายประเทศ แต่ผมก็คิดว่าเมืองไทยนี่แหละคือที่ที่ผมอยากอยู่ที่สุด เมื่อผมเลือกที่จะอยู่ที่นี่ อะไรที่ผมสามารถทำเพื่อตอบแทนแผ่นดินนี้ได้ ผมก็จะทำ  (คุณเจมส์ให้ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนขาดแคลนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งแต่ ปี 2539-2548  เป็นเงินราว 25   ล้านบาท  ให้ทุนสำหรับประกอบอาชีพสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ราว 5 ล้านบาท  ให้ทุนในการก่อสร้างและการดำเนินงานของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ตั้งแต่ปี 2545 ถึงปัจจุบันกว่า 100 ล้านบาท)
ครูใหญ่--    ไม่คิดอยากจะกลับไปอยู่อังกฤษหรือครับ
คุณเจมส์--   ในช่วงที่สังคมไทยวุ่นวาย (พ.ศ.2550-2553  มีเหตุการณ์ที่ทำให้สังคมแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย มีการชุมนุม มีการปิดสนามบิน มีการก่อเหตุความวุ่นวาย  มีการวางระเบิด ) ผมถามตัวเองบ่อยครั้งว่า “ทำไมผมต้องทนอยู่ในเมืองไทย? ”  ผมถามตัวเองบ่อยๆ  และก็จะได้คำตอบทุกครั้งที่ผมได้มาเห็นโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ผมรู้สึกดีที่มีหน้าที่ต่อที่นี่ และที่นี่ก็มีคุณค่าต่อการพัฒนาการศึกษาไทย และมันคงช่วยไม่ให้ปัญหาที่ผ่านมาข้างต้นเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ครูใหญ่--    ความคิดที่อยากช่วยเหลือคนอื่นนี้เกิดขึ้นกับคุณเจมส์ตอนไหน
คุณเจมส์--  ตอนเด็กๆ คุณยายสอนผมเสมอว่าคนมีเงินต้องช่วยคนไม่มี  ตอนแรกผมรู้สึกแค่ว่ามันเป็นหน้าที่อย่างที่คุณยายบอก  แต่ตอนนี้ผมรู้จริงๆ แล้วว่า การให้ทำให้ผมมีความสุข
ครูใหญ่—   เรียนที่โรงเรียนในอังกฤษเป็นยังไงบ้าง ได้ปลูกฝังเรื่องนี้มากไหม?
คุณเจมส์--  ตอนเด็กเล็กๆ ผมเรียนอนุบาลในโรงเรียนที่ใช้ทฤษฎีมอนเตสซอรี่  ผมจำได้ว่าตอนชั้นอนุบาลนั้นครูให้อ่านอะไรซักอย่าง แต่ผมอ่านไม่ได้  ผมได้แต่ยืนร้องไห้
ครูใหญ่--   คุณเจมส์มีความเห็นอย่างไรต่อบทบาทของโรงเรียนกับศาสนาในการปลูกฝังผู้เรียนให้เป็นคนดี 
คุณเจมส์--  ในโรงเรียนต้องแยกระหว่างการศึกษาศาสนากับการส่งเสริมศาสนา  ผมเห็นว่าโรงเรียนไม่มีหน้าที่ต่อการส่งเสริมศาสนา  แต่มีหน้าที่ในการให้การศึกษา เพื่อให้เข้าใจ ให้รู้  เกี่ยวกับศาสนา  พ่อแม่หรือองค์กรทางศาสนาควรจะมีหน้าที่นั้น ผมคิดว่าเด็กควรมีสิทธิ์ในการเลือก ว่าตัวเองอยากนับถือศาสนาอะไรหลังจากที่ได้เรียนรู้ทุกอย่างแล้ว   และผมก็รู้สึกว่าศาสนาเป็นเพียงสถาบัน ทุกสิ่งที่ทำก็เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายสถาบัน และถ้าเป็นสถาบันก็จะถูกใช้เพื่ออำนาจของใครบางคน
ครูใหญ่--   แล้วคุณเจมส์คาดหวังว่า ศาสนาควรจะให้อะไรกับคนหรือสังคม 
คุณเจมส์--  ศาสนาควรจะให้คำตอบสำหรับคำถามใหญ่ๆ ของชีวิต เช่น ชีวิตมีความหมายอย่างไร อยู่เพื่ออะไร ทำไมเราต้องเกิดมา
ครูใหญ่--  คิดว่าตนเองเป็นศาสนิกชนที่ดีไหม
คุณเจมส์--  สำหรับผมการทำอะไรต้องมีเหตุผล  แต่บางอย่างของศาสนาแค่บอกให้เราทำหรือบอกให้เราเป็นอย่างไม่มีเหตุผล ส่วนที่ผมเห็นด้วยกับศาสนาพุทธคือ มันเป็นวิธีสำหรับการใช้ชีวิตจริง เช่น การมีสติทำให้เรามีความสุข หรือ การมีความสุขไม่ได้หมายถึงการได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอไป เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนพิสูจน์ได้ บางอย่างของพุทธผมก็ไม่เห็นด้วย  เช่น คนที่นับถือพุทธก็จะยอมรับในความไม่ยุติธรรมได้โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นเพราะกรรม  บางทีเราเห็นคนเจ็บป่วยหรือพิการ เราก็จะไม่ยอมทำอะไร ไม่ยอมช่วยเหลือ ไม่ยอมแก้ไข เพราะเชื่อว่ามันยุติธรรมแล้ว  มันเป็นเพราะกรรมของคนๆ นั้น วิธีคิดแบบนี้ก็จะไม่ทำให้เราพร้อมที่จะแก้ไขหรือช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า แต่ผมคิดว่าความเชื่อเรื่องกรรม ไม่ได้เป็นแก่นของพุทธจริงๆ แต่ได้รับอิทธิพลจากฮินดู
ครูใหญ่--  เชื่อในชาติภพไหม
คุณเจมส์-- ผมเชื่อเรื่องการตายและจบ ไม่มีภพหน้าอีก แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับยาก เพราะจินตนาการไม่ออกว่าหลังความตายจะเป็นอย่างไร   ผมรู้สึกว่าความเชื่อเรื่องกรรมเป็นเพราะคนที่อยู่ในฐานะสูงสร้างขึ้น เพื่อจัดระเบียบของสังคม เพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ จะสังเกตจาก ทุกองค์กรศาสนาจะได้รับการสนับสนุนจากองค์กรของรัฐ ความเชื่อทุกศาสนาจะบอกว่า จะมีอีกชีวิตหลังความตาย
ครูใหญ่-- งั้นเราควรทำดีไปเพื่ออะไร ถ้าไม่เชื่อว่ามีภพหน้าให้คาดหวัง
คุณเจมส์--  ควรเชื่อว่า ไม่ได้ทำความดีเพื่ออะไร  แต่ทำความดีเพื่อดี  ผมเห็นหลายคนที่ไปทำอะไรให้กับวัดโดยหวังจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ตอบแทนทั้งในภพนี้และภพหน้า
ครูใหญ่--  แล้วคนแต่ละคนจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรดีอะไรไม่ดี
คุณเจมส์--  เป็นคำถามที่ยาก ผมคิดว่าแต่ละคนอาจจะลองทำดู แล้วค่อยดูว่าอะไรที่ทำแล้วสบายใจแล้วค่อยทำ  ผมรู้ว่านี่อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดี  แต่ผมไม่เคยสับสนเลยว่าอะไรดี หรือไม่ดี   ผมได้เรียนรู้จากตายาย ว่าไม่มีใครที่จะได้อะไรจากตัวเอง  เราได้สิ่งต่างๆ ทั้งหมดจากคนอื่นทั้งนั้น  เราได้ร่างกายจากอาหาร เราร่ำรวยเพราะเงินจากคนอื่น
ครูใหญ่--  ใครเป็นต้นแบบของคุณเจมส์
คุณเจมส์--  ในเชิงเทคนิค คนที่เป็นต้นแบบของคนคือ Ken Tenson เค้าเป็นคนทำระบบ Unix
ครูใหญ่--  รู้สึกศรัทธาใครมากที่สุด
คุณเจมส์--  เฉพาะในประเทศอังกฤษ ผมให้ความนับถือคุณมากาเรต เทดเชอร์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของโลก  หลายคนอาจจะไม่ชอบเค้า  เพราะเค้าอาจจะเป็นคนที่มั่นใจมากเกินไป แต่เค้าทำให้อังกฤษเปลี่ยนแปลงเยอะมาก  เช่น ทำให้องค์กรของรัฐเล็กลงแต่มีคุณภาพมากขึ้น  ทำให้อำนาจของรัฐสภาน้อยลง เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ในประเทศอื่นๆ ผมชอบคืออองซานซูจี ผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายค้านของพม่า ผมชอบในประเด็นที่เค้าไม่ยอมจำนน ยึดถือหลักการในวิถีการต่อสู้ของตนเองอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เค้าได้ต่อสู้กับอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ด้วยความอดทน โดยไม่นึกถึงแก่ตัวเอง แม้ขณะที่สามีเสียชีวิตก็ไม่ได้ไปร่วมงานศพ  และผมพบว่ามีคนประเภทนี้ในโลกน้อยมาก  และไม่เห็นมีนักการเมืองคนใดในประเทศไทยเป็นอย่างนั้น    ในเรื่องวิชาการ ผมชอบ Berter Russel  เป็นชาวอังกฤษ เค้าเก่งในด้านปรัชญา คณิตศาสตร์ แต่ก็สนใจเรื่องสังคม เค้าเขียนหนังสือที่ดีมาก และเค้าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อต้านสงครามโลกครั้งที่ 2   ส่วนในครอบครัวผมมีตายายเป็นตัวอย่าง เค้าเป็นคนสร้างบริษัทที่ใหญ่มากขึ้นมา  คือประมาณใหญ่กว่า เทสโก้  ตาผมให้การสนับสนุนเรื่องศิลปะ เค้าเคยให้การสนับสนุนนักศิลปะโนเนมคนหนึ่งจนกระทั่งมีชื่อเสียง  บ้านของตาจะประกอบด้วยงานศิลปะของศิลปินคนนั้น  ตาไม่สนใจว่าใครจะคิดหรือวิจารณ์อย่างไร แต่เค้ามั่นใจในความคิดของตัวเอง  เป็นคนที่ทำงานละเอียดมาก  เป็นผู้ดีอังกฤษ ไม่เคยแสดงอาการฉุนเฉียวใส่ใคร 
ครูใหญ่--  อะไรที่ได้จากคุณตา
คุณเจมส์-- ไม่ฟุ่มเฟือย และได้ช่วยเหลือคนอื่น
ครูใหญ่—  ณ วันนี้คุณเจมส์คิดยังไงเกี่ยวกับโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
คุณเจมส์--  ผมสมหวัง แม้บางครั้งผู้ปกครองบางส่วนจะไม่เข้าใจ  แต่ผมก็ไม่ได้หวังแค่นี้ ผมหวังที่จะช่วยการศึกษาไทยทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาเราช่วยได้มากกว่าที่หวังเสียอีก  ผมมองว่าโรงเรียนเราประสบผลสำเร็จ  เป็นโรงเรียนที่ดี  มีคนมาเรียนรู้มากมาย โจทย์ที่เราพยายามแก้มันสำคัญมากต่อประเทศไทย เป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศไทย  เราเคยมองว่า เราอยู่ในระดับเดียวกันกับเกาหลีใต้หรือสิงคโปร์ แต่ตอนนี้เรากลัวเวียดนามหรือกัมพูชา มันอยู่ที่คุณภาพของคน ซึ่งผมเป็นห่วงเรื่องนี้มาก
ครูใหญ่--  ที่คุณเจมส์ครองโสดมานาน มีมุมมองเรื่องผู้หญิงที่จะเป็นแฟนอย่างไร
คุณเจมส์--  ผู้หญิงที่จะทำให้ผมแต่งงานด้วยได้  ต้องเป็นคนที่ผมรักได้ทุกวัน และจะต้องมีคุณสมบัติเป็นแม่ที่ดี  เข้าอกเข้าใจกัน และอยู่ด้วยกันอย่างไม่อึดอัด  ต้องให้ความรู้สึกอบอุ่น  สามารถเปิดเผยเรื่องต่างๆ ต่อกันและกันได้ และเคารพให้เกียรติกัน
ครูใหญ่--  ดูเหมือนชีวิตจะเกิดมามีพร้อมทุกอย่าง  คุณเจมส์รู้สึกขาดอะไรบ้างไหม  ต้องคิดให้ดีถึงคำถามนี้ เพราะมันหมายถึงมุมมองของชีวิตของคุณเจมส์

คุณเจมส์-- ผมรู้สึกว่าการมีลูกเป็นส่วนสำคัญของชีวิตมนุษย์   สิ่งนี้ผมยังไม่มี    ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และผมก็รู้สึกได้ว่าผมยังขาด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น