ก่อนโลกาวินาศ
หลอดไฟบนเพดานตรงช่องทางเดินวิ่งสวนทางกับทิศทางที่รถเข็นเปลกำลังเคลื่อนไป
ความสว่างของหลอดไฟจ้าขึ้นปะทะใบหน้าของผู้ที่นอนอยู่บนรถเข็นเป็นระยะ แสงไฟทำให้เขาต้องหรี่ตากลมโตให้เล็กลง คิ้วที่ขมวดอยู่ปรากฏ แวววิตกกังวลไว้บนใบหน้า
วนัสรู้สึกถึงความลื่นไหลของล้อรถเข็นที่เขากำลังนอนอยู่ มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ออกจะเฉื่อยด้วยซ้ำไป
แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงหรือเร่งรีบไปกว่านี้ เขานอนนิ่งอยู่บนรถเข็น
หรี่ตามองดูเพดานและหลอดไฟที่กำลังเคลื่อนผ่านทีละดวงๆ ยิ่งผ่านไปหลายดวงหัวใจของเขายิ่งเต้นแรงและหนักหน่วงขึ้นเป็นลำดับ
มันเต้นแรงเสียจนเขารู้สึกว่ามันแทบจะทะลักออกมาสาดเลือดสดๆ
ใส่ใบหน้าของผู้ที่กำลังเข็นเขามาเลยทีเดียว
วนัสเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อทำลายความเงียบอันเยียบเย็นและปลุกปั้นกำลังใจของตนให้กล้าแข็ง
“เวลาเท่าไหร่แล้วครับคุณ” เขาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุดทั้งที่ปากคอแห้งผาก
มันเลยกลับกลายเป็นเสียงที่แหบเครือเบาหวิว
ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าที่จะประสานสายตากับชายชุดเขียวที่เข็นเขามา แน่ล่ะเขาจะแสดงความขี้ขลาดออกมาให้ใครเห็นขณะนี้ไม่ได้
ผ่านไปหลายอึดใจชายชุดเขียวจึงเอ่ยขึ้น
“สี่ทุ่มสิบนาที สี่ทุ่มสิบนาทีของวันที่สิบเอ็ดมกราคมครับคุณ”
วนัสปล่อยแขนขาที่อ่อนระทวยให้แน่นิ่ง เขาหรี่เปลือกตาลงจนเห็นแสงเพียงลางๆ
เหงื่อเม็ดโป่งผุดขึ้นตามใบหน้าและลำตัวทั้งที่อุณหภูมิของอากาศออกจะเย็นสบาย เขารู้ว่าเวลาของวันนี้กำลังจะหมดลงอีกไม่ถึง สองชั่วโมงข้างหน้านี้
แม้เขาจะมีเหตุผลและคำตอบให้กับตัวเองชัดเจนเพียงใด แต่ความกลัวซึ่งไม่อาจจำกัดขอบเขตของมัน
ได้ยึดครองทุกอณูหัวใจของเขาไว้สิ้นแล้ว
แต่ความกลัวที่ปรากฏขึ้นใช่ว่าเนิ่นนานเสมอไป
ฉับพลันที่เขานึกถึงความเลวร้ายที่เกิดกับเพื่อนร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ
ที่หนักและรุนแรงกว่า ความกลัวก็แผ่วแรงลง
เสียงล้อรถเข็นหมุนแกรกกราก เปลถูกเหวี่ยงเลี้ยวไปทางซ้าย
แล้วชายชุดเขียวก็เอ่ยขึ้น “คุณได้อะไรจากการ กระทำครั้งนี้”
วนัสลืมตาด้วยท่าทีกระตือรือร้นขึ้นอย่างฉับพลัน
ที่รู้ว่าอย่างน้อยก็มีบางคนสนใจเรื่องของตัวเอง
“คุณรู้เรื่องได้ยังไง”
“ก็กลุ่มคนที่มารอรับ เออ...รับชิ้นส่วนคุณเขาพูดกัน”
วนัสบอกออกไปอย่างรวบรัดและภาคภูมิ
“ชีวิตผม ผมย่อมเป็นผู้เลือก” เขาจงใจเว้นระยะหลายอึดใจก่อนที่จะเล่าต่อ
“ผมเซ็นสัญญาขายมันให้กับนักธุรกิจคนหนึ่งเมื่อสิบปีที่แล้ว”
เงียบไปครู่หนึ่ง “เท่าไหร่” ชายชุดเขียวคล้ายไม่เชื่อสิ่งที่วนัสพูด
“สี่สิบล้าน”
“อืม.. เยอะเหมือนกัน แล้วมีเงื่อนไขที่คุณต้องจ่ายคืนยังไง”
“ทุกอย่างเป็นของเขาเมื่อผมอายุครบสี่สิบปี”
“หมายถึงสิ้นวันนี้”
“ใช่ ผมครบสี่สิบปีวันนี้”
“คุณได้ใช้เงินจำนวนนั้นสิบปี”
“ใช่”
“คุณเบี้ยวเขาก็ได้นี่” ชายชุดเขียวเสนอแนะ
“คุณคิดง่ายๆ
กลไกการอยู่มันมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน
มากมาย คุณคิดหรือว่าผมจะอยู่ได้อย่างเป็นสุข ”
“คุณต้องบ้าแน่...ขายชีวิตไปได้อย่างไร
ใครเขาก็ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทั้งนั้น กับแค่เสพสุขสิบปีกับเงินสี่สิบล้านแล้วก็ตาย
มันมีประโยชน์อะไร
คุณ...ไม่รู้จักคุณค่าการมีชีวิต”
ชายชุดเขียวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
วนัสมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น เขารวบแขนทั้งสองข้างไปหนุนหัวให้สูงขึ้น
เพื่อจะได้เห็นหน้าของชายชุดเขียวได้ถนัดโดยไม่ต้องเหลือบตาลงดู
ชายชุดเขียวพูดขึ้นเมื่อเห็นวนัสไม่โต้ตอบ
“คุณไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต คิดแค่เสพสุขให้อิ่มแล้วก็ตายไป ไม่ต่างกับพวกพืช พวกหนอน หรือ สัตว์ชั้นต่ำ คุณเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ”
“อะไรล่ะคือคุณค่าของการมีชีวิต” วนัสโต้บ้าง
อึ้งไปนิดหนึ่งก่อนที่ชายชุดเขียวจะตอบคำ
“การที่ต้องมีชีวิตอยู่นั่นล่ะคือคุณค่าของมัน”
“หมายถึงการอยู่ๆ
ไปเพื่อช่วยกันผลาญทรัพยากรของโลกให้หมดไวๆ แล้วก็ตายพร้อมกันงั้นเหรอ”
“ไม่..คุณอย่าเฉไฉสิ อย่างน้อยเราก็ต้องทำความดี มีชีวิตเพื่อผู้อื่น ใครก็ต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นทั้งนั้น” เขาเปล่งเสียงดังขึ้น
“ใช่ผมก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น”
“แต่คุณเลือกทางอื่นก็ได้นี่”
“ทางเลือกไหนล่ะ ... ผมได้ทำอะไรมาเยอะแยะ ตลอดสิบปีมานี่ และคิดว่าถ้าสวรรค์มีจริงผมคงจะได้อยู่ที่นั่น นี่เป็นผลมาจากการตัดสินใจของผมในครั้งนั้นล่ะ
ถ้าผมยังมีสภาพเหมือนเดิมคิดหรือว่าจะมีโอกาสได้ทำอะไรมากมายถึงเพียงนี้ แล้วคุณคิดว่าผมเดินมาถูกทางไหมล่ะ”
ไม่มีคำตอบจากชายชุดเขียว รถเข็นยังมุ่งไปสู่ปลายทางด้วยท่าทีไม่เร่งรีบ
“คุณรู้ไหม...
มันเป็นหนทางเดียวที่ผมจะสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองและครอบครัวได้สุขสบาย ได้ทำ
ในสิ่งที่อยากทำ
ได้กินอย่างที่ควรได้กิน
ได้ช่วยเหลือเจือจานคนอื่นอย่างที่คนควรได้ทำ ผมโชคร้ายตรงที่ผมได้
เกิดมาเป็นคนชนชั้นล่าง อดอยาก ด้อยการศึกษา
อัตคัต ขัดสนแม้กระทั่งโอกาส ไม่ค่อยได้ลิ้มรส ความสุขสบาย วันๆ
แค่วุ่นวายอยู่กับการหาเลี้ยงชีวิตให้รอดเท่านั้นยังลำบาก พวกคนรวยที่ว่าเป็นคนชั้นสูงเคยดูแลบ้างไหม ไม่เลย.......
พวกเขาเห็นแก่ตัวทั้งนั้น
อยู่อย่างสุขสบาย เห็นเรื่องความลำบากของชนชั้นล่างเป็นเรื่องธรรมดาเป็นความชาชิน
เป็นชะตากรรมที่ต้องแบกรับไปตลอดชีวิต พวกเขาไม่มองหรอกว่าสิ่งเหล่านั้นคือความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ที่ต้องได้รับการแก้ไข
และได้รับความเห็นใจ เพื่อแบ่งสรรทรัพยากรของโลกให้ทุกคนได้รับเท่าเทียมกัน
ซึ่งแน่ล่ะ...มันไม่มีวันเป็นไปได้
แล้วผมผิดเหรอที่จะเห็นแก่ตัวบ้างโดยไม่มีใครเดือดร้อนเพราะผมเลยสักนิด”
“เหตุผลของคุณก็เข้าข้างตัวเองเกินไป มันเป็นบุญกรรมที่แต่ละคนสั่งสมมา” ชายชุดเขียวกล่าวด้วย น้ำเสียงนุ่มนวล
ทั้งสายตายังจับจ้องจุดหมายที่จะไปแต่วนัสก็โต้ทันควัน
“เห็นไหม...คุณก็เหมือนพวกเขา
เอาเรื่องบุญกรรมมาปลอบโยนคนอื่นที่ด้อยโอกาสในชีวิต เพื่อปกปิด
ความเห็นแก่ตัวและความตะกละตะกลามของตัวเอง”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด คุณเลือกเองนี่ และอีกอย่างคุณก็ใกล้ตายแล้วด้วย” ชายชุดเขียวพูดเสียงขุ่น
“คุณก็ต้องตาย หรือใครๆ ก็ต้องตาย”
“แล้วไง”
“ความตายเป็นสัจจะ แม้ผมเลือกเกิดไม่ได้แต่นับว่า
โชคดีที่ผมเลือกที่จะตายได้อย่างอาจหาญ
ไม่มีใครหรอกที่กล้าเผชิญกับมันได้อย่างกับผม”
“คุณอย่าพูดเลย ลองฟังเสียงหัวใจของตัวเองเต้นก่อนเถอะ ที่คุณพูดมาทั้งหมดเป็นการปลอบใจตัวเองทั้งนั้น
ที่แท้คุณกลัวมัน กลัวมันจะมาถึงเร็วๆ ต่างหาก”
“ไม่จริง...ผมรู้ตัวเองดี
ผมจะบอกคุณไว้ว่าไม่มีอะไรน่าท้าทายเกินกว่าการเผชิญกับความตาย”
“คุณอาจจะรู้สึกเสียใจก็ได้เมื่อถึงเวลา เอาล่ะ ถึงแล้ว เป็นอันว่าผมหมดหน้าที่ และรู้สึกดีที่ได้คุยกับคุณ
ขอให้คุณได้พบกับสิ่งที่คุณรอคอยด้วยความสมหวังเถอะ” ชายชุดเขียวเน้นคำจริงจัง แสยะยิ้มแล้วผละไป
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกโดยชายที่สวมชุดขาว
แสงไฟเจิดจ้าจนวนัสต้องหลับตาปี๋ เขาได้กลิ่นไลโซล ฉุนจนแสบจมูก หัวใจที่เพิ่งราบเรียบสงบลงเมื่อครู่ก็ห้อพยศ
ดังม้าป่าที่ได้กลิ่นความตายจากเสือนักล่า
มันเต้นแรง จนแทบจะระเบิดออกจากโครงอกให้ได้ เขากระพริบตาถี่ๆ ก่อนที่จะลืมตาขึ้น ภายในห้องอันกว้างใหญ่อัดแน่นด้วยผู้คนมากมาย บ้างนั่ง
บ้างยืน บ้างนอน บนเตียงผู้ป่วยที่มีสายระโยงระยาง และมีหญิงชายชุดขาวเดินกันขวักไขว่ ปฏิกิริยาของคนเหล่านั้นหันมาสนใจเขาทันทีตั้งแต่แรกมาถึง
มีเสียงซุบซิบและชี้ชวน ให้ดูที่ตัวเขา
ตาของคนเหล่านั้นแวววาวด้วยความปิติ
เต็มเปี่ยมด้วยความหวังบวกกับความหื่นกระหายเห็นแก่ตัว
จวนเที่ยงคืน การชำระล้างทำความสะอาดจึงเสร็จสิ้น
วนัสถูกเปลี่ยนให้นอนบนเตียงที่ปูผ้าสีขาวสะอาดตาหลังใหญ่ด้วยตัวล่อนจ้อน ข้างๆ
เป็นโต๊ะวางถาดใส่เครื่องมือต่างๆ
มันวาววับ
เขานอนนิ่งไม่ยอมพูดจา
หรือสบตากับคนเหล่านั้น
แม้จะมีใครบางคนที่อยากรู้อยากเห็นเข้ามาทำทีสนใจซักถามก็ตาม วนัสรู้ว่าล้วนแต่ไม่มีประโยชน์อันใด เพราะไม่มีใครพร้อมที่จะใส่ใจฟังเขาจริงๆ ไม่มีใครที่อยากจะช่วยเขาให้หลุดพ้นจากสภาวะนี้
คนเหล่านั้นจ้องตาเป็นมันที่อวัยวะของเขาเท่านั้น ส่วนหูของพวกเขาก็คอยเงี่ยฟังเสียงคู่แข่งที่อยู่รอบข้าง
เพื่อหาเล่ห์เหลี่ยมแย่งชิงสิ่งที่ตนปรารถนาให้ได้ถึงขั้นนี้แล้ว
วนัสรู้ดีว่าคงไม่มีใครสร้างปาฏิหาริย์ให้เขาหลุดพ้นจากความตายที่กำลังจะมาถึงนี้ไปได้ ความหวังลึกๆ ที่เคยมีแม้จะริบหรี่ ตอนนี้มันถูกเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่นาทีฆ่ามันแล้ว
จากนั้นเขาถูกชายชุดขาวสองคนมัดตรึงไว้กับเตียง
เที่ยงคืน
ชายเจ้าของสัญญาอยู่ในชุดอันภูมิฐานราคาแพง
ก้าวเขามาในห้องพร้อมกับน้ำหอมกลิ่นฉุนแปร่งๆ เขาเดินเฉียดวนัสไปโดยไม่เหลือบแลแม้หางตา ปล่อยให้สายตาวิงวอนคู่นั้นต้องเหือดไป
วนัสนึกทุเรศตัวเองอยู่ในใจที่ปล่อยให้พฤติกรรมของความอ่อนแอเมื่อครู่ทำลาย
ความภาคภูมิใจในตัวเองลง
เขาคือนักธุรกิจที่ไม่อาจเสียเวลาไปเพราะความรู้สึกทั้งกับของตนเองหรือของใครๆ กำไรสูงสุดคือเป้าหมาย เป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จของเขา
เขาก้าวขึ้นโต๊ะประมูลด้วยความมาดมั่น
ประกาศด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชัดเจน
“ท่านผู้ทรงเกียรติ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น
แม้เพียงเสี้ยวเวลาหนึ่งของการมีชีวิตก็ตาม เราได้เสนอชิ้นส่วนของร่างกายที่สมบูรณ์ ดังที่ปรากฏต่อหน้าท่านแล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ข้าพเจ้าขอเริ่มการประมูล ณ บัดนี้” มีเสียงปรบมือกราวหนึ่งแล้วเงียบลง
“ข้าพเจ้าจะเริ่มประมูลชิ้นส่วนภายนอกเสียก่อน
ทั้งนี้เพื่อให้เขาได้ตายช้าๆ และท่านทั้งหลายจะได้ชิ้นส่วนที่สดที่สุด ขอเริ่มที่ขาทั้งสองข้าง ราคาเริ่มต้นที่สองล้านบาท”
สิ้นเสียงประกาศลง ราคาขาทั้งสองข้างของวนัส
ขยับสูงขึ้นเป็นลำดับ สามล้าน ห้าล้าน
แปดล้าน สิบล้าน จนสิ้นเสียงเคาะหลังจากนับสาม ขาทั้งสองข้างของวนัสก็เป็นของหนุ่มมหาเศรษฐีผู้ขาด้วนจากจากอุบัติเหตุด้วยราคาที่แสนถูกสำหรับเขา
เขายิ้มกริ่มอย่างผู้มีชัยในขณะที่ชายหญิงชุดขาวหลายคนช่วยกันเฉือนเอาขาทั้งสองข้างของวนัสออกมาต่อให้เขา เลือดสดๆ
สีแดงเข้มทะลักออกมาจากโคนขาทั้งสองข้างบวกกับความเจ็บปวดที่ไม่เคยมีครั้งใดเทียบเท่าได้เลยในชีวิต ทำให้วนัสถึงกับใบหน้าเหยเกลำตัว
ที่เกร็งกระตุกจนถูกเชือกที่รัดตัวเขาอยู่กดลงบนเนื้อหนัง เป็นร่องลึก
เขากลั้นหายใจและกัดฟันแน่นเพื่อผ่อนคลาย ความเจ็บปวดนั้น แม้มันได้ผลมากมายนักแต่ก็ยังดีเสียกว่า
จะปล่อยให้ความเจ็บปวดทรมานปลิดชีวิตเขาลงเสียตอนนี้ ผู้คนที่รายรอบยังมีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา เหมือนพวกเขามองไม่เห็นความเจ็บปวด
ความทรมานของร่างที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาแทบจะไม่ได้กลิ่นคาวเลือดอันคลื่นเหียนนั่นด้วยซ้ำ
ชิ้นส่วนภายนอกของวนัสถูกประมูลและเฉือนออกทีละชิ้นๆ แขนทั้งสองข้าง ใบหู และ เครื่องเพศ
โดยเฉพาะชิ้นหลังนี้ใช้เวลาประมูลอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง
กว่าที่เฒ่าหัวงูคนหนึ่งจะได้ไปด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว
ลำตัวด้วนกุดที่โชกเลือดสั่นกระตุกอยู่บนเตียงกลางห้อง
กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลกลบกลิ่นของไลโซนจนสิ้นสายตาของร่างนั้นเหม่อมองทะลุผ่านเพดานไปไกล
ทว่าไร้จุดหมาย น้ำใสๆ
เอ่อท้นออกมาจนท่วมเต็มเบ้าตา
และไหลลงร่องหูที่แหว่งไปทั้งสองข้าง
ปากดำคล้ำเม้มสนิท ทั้งสั่นระริก
ทุกอย่างล่วงเลยมาจนเกือบจะถึงปลายสุดของ เส้นทางแล้ว
ความมืดดำที่อยู่ตรงปลายทางข้างหน้าเริ่มปรากฏให้เห็นรางๆ
วนัสเริ่มกล้าขึ้นมาอย่างจริงจังที่จะเผชิญกับมัน เขาจะไม่ยอมปริปากร้องขอชีวิตหรือร้องโอดโอยแสดงความเจ็บปวดให้คนเหล่านี้ได้เห็นอย่างเด็ดขาด เขาตั้งใจจะทิ้งเกียรติยศและความหาญกล้าครั้งนี้ไว้
แม้มันอาจจะจอมปลอมให้พวกเขาซึ่งกำลังเร่งเร้าการตายและกำลังมองเขาอย่างเหยียดหยันอยู่ขณะนี้ต้องสำนึกเสียใจ
เมื่อพวกเขาได้เห็นธาตุแท้อันต่ำช้าของตนเองในวาระสุดท้ายของชีวิต เสี้ยววินาทีสุดท้ายของพวกเขาจะต้องสำนึกเสียใจ
ความเจ็บปวดกินลึกไปทั่วทุกเส้นประสาทจนวนัสด้านชาไปทั้งตัว
ปฏิกิริยาและการรับรู้ต่อสิ่งรอบข้างด้อยลง
แต่หูที่ชุ่มเลือดทั้งสองข้างยังแว่วได้ยินถึงการให้ราคาและการต่อรองเปลี่ยนมือสำหรับอวัยวะชิ้นต่อไป
ไม่มีน้ำเสียงใดเลยแสดงความสงสารสังเวชต่อสภาพร่างที่อยู่ต่อหน้า
และไม่มีน้ำเสียงใดที่ยอมลดละต่อการแย่งชิงในสิ่งที่ตนเองปรารถนา
ตาทั้งสองข้างของวนัสถูกควักออกในนาทีต่อมาด้วยราคา แสนแพง เมื่อลูกตาหลุดออกจากเบ้า สายเลือดที่กลั่นจากน้ำตาก็ทะลักไหล ใบหน้าที่กระตุกถี่ๆ
บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอันแสนสาหัส
การหายใจเริ่มขาดเป็นห้วงๆ
หัวใจก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง
แล้วด้ายเส้นเล็กจิ๋วที่จำจองชีวิตไว้ต้องขาดผึงด้วยการกระตุกสองสามครั้ง
ชายหญิงชุดขาวหลายคนช่วยกันชำแหละช่องท้องของซากศพออก เฉือน ตับ ไต ไส้พุง ปอด และ หัวใจ
ให้กับผู้ที่ประมูลได้
แม้แต่กระดูกและผิวหนังก็มีคนประมูลเอา
รุ่งเช้าชายเจ้าของสัญญาเดินออกจากห้องไปอย่างเป็นสุข ธุรกิจของเขาราบรื่น
และเหนืออื่นใดเขาได้กำไรมหาศาล
เขาดีใจจนแทบอยากกระโดดออกจากห้องไปเลยทีเดียว รอยยิ้มและย่างก้าวที่กระฉับกระเฉงบ่งบอกได้ชัดเจนถึงความสุขนั้น ในมือเขายังหิ้วถุงสีดำใส่เศษเนื้อ เศษไขมัน
และเศษกระดูกบางส่วนที่ไม่มีใครต้องการ
เขาก้าวขึ้นรถคันหรูที่มีคนขับคอยโค้งคำนับอยู่ รถเคลื่อนออกไปอย่างนุ่มนวล
ชั่วระยะเวลาไม่นานเขาบอกคนขับให้จอดแถวกองขยะแล้วโยนถุงดำนั้นทิ้งไป
หลังจากนั้นรถคันงามก็นำเขาสู่อัครสถานเพื่อการพักผ่อนอย่างเป็นสุข
ที่กองขยะกลิ่นคาวเลือดอันเย้ายวนดึงดูดหมาขี้เรื้อนหลายตัว
พวกมันกระโจนเข้าใส่ถุงดำนั้นด้วยความกระหายหิว
พวกมันเสี่ยงชีวิตเข้ากัดฟัดกันเพื่อแย่งชิงเศษเนื้อและเศษกระดูกจนฝุ่นคลุ้ง เสียงเห่าหอน
ขู่คำราม ดังขึ้นไม่ขาดสาย
เนิ่นนาน...จนเศษเนื้อ เศษกระดูก
ถูกหมาที่มีกำลังมากกว่าคาบหนีไป ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายจึงค่อยสงบลง