ครูใหญ่สัมภาษณ์คุณเจมส์ เมื่อปี 2554
ครูใหญ่-- ประเทศใดที่คุณเจมส์อยากอยู่ที่สุดครับ
คุณเจมส์-- ผมไปอยู่มาหลายประเทศ
แต่ผมก็คิดว่าเมืองไทยนี่แหละคือที่ที่ผมอยากอยู่ที่สุด เมื่อผมเลือกที่จะอยู่ที่นี่
อะไรที่ผมสามารถทำเพื่อตอบแทนแผ่นดินนี้ได้ ผมก็จะทำ (คุณเจมส์ให้ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนขาดแคลนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตั้งแต่ ปี 2539-2548 เป็นเงินราว 25 ล้านบาท ให้ทุนสำหรับประกอบอาชีพสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV
ราว 5 ล้านบาท ให้ทุนในการก่อสร้างและการดำเนินงานของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
ตั้งแต่ปี 2545 ถึงปัจจุบันกว่า 100 ล้านบาท)
ครูใหญ่-- ไม่คิดอยากจะกลับไปอยู่อังกฤษหรือครับ
คุณเจมส์-- ในช่วงที่สังคมไทยวุ่นวาย (พ.ศ.2550-2553 มีเหตุการณ์ที่ทำให้สังคมแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย มีการชุมนุม มีการปิดสนามบิน มีการก่อเหตุความวุ่นวาย มีการวางระเบิด ) ผมถามตัวเองบ่อยครั้งว่า
“ทำไมผมต้องทนอยู่ในเมืองไทย? ”
ผมถามตัวเองบ่อยๆ และก็จะได้คำตอบทุกครั้งที่ผมได้มาเห็นโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
ผมรู้สึกดีที่มีหน้าที่ต่อที่นี่ และที่นี่ก็มีคุณค่าต่อการพัฒนาการศึกษาไทย
และมันคงช่วยไม่ให้ปัญหาที่ผ่านมาข้างต้นเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ครูใหญ่-- ความคิดที่อยากช่วยเหลือคนอื่นนี้เกิดขึ้นกับคุณเจมส์ตอนไหน
คุณเจมส์-- ตอนเด็กๆ
คุณยายสอนผมเสมอว่าคนมีเงินต้องช่วยคนไม่มี ตอนแรกผมรู้สึกแค่ว่ามันเป็นหน้าที่อย่างที่คุณยายบอก แต่ตอนนี้ผมรู้จริงๆ แล้วว่า
การให้ทำให้ผมมีความสุข
ครูใหญ่— เรียนที่โรงเรียนในอังกฤษเป็นยังไงบ้าง
ได้ปลูกฝังเรื่องนี้มากไหม?
คุณเจมส์-- ตอนเด็กเล็กๆ
ผมเรียนอนุบาลในโรงเรียนที่ใช้ทฤษฎีมอนเตสซอรี่ ผมจำได้ว่าตอนชั้นอนุบาลนั้นครูให้อ่านอะไรซักอย่าง
แต่ผมอ่านไม่ได้ ผมได้แต่ยืนร้องไห้
ครูใหญ่--
คุณเจมส์มีความเห็นอย่างไรต่อบทบาทของโรงเรียนกับศาสนาในการปลูกฝังผู้เรียนให้เป็นคนดี
คุณเจมส์-- ในโรงเรียนต้องแยกระหว่างการศึกษาศาสนากับการส่งเสริมศาสนา
ผมเห็นว่าโรงเรียนไม่มีหน้าที่ต่อการส่งเสริมศาสนา แต่มีหน้าที่ในการให้การศึกษา เพื่อให้เข้าใจ
ให้รู้ เกี่ยวกับศาสนา พ่อแม่หรือองค์กรทางศาสนาควรจะมีหน้าที่นั้น ผมคิดว่าเด็กควรมีสิทธิ์ในการเลือก
ว่าตัวเองอยากนับถือศาสนาอะไรหลังจากที่ได้เรียนรู้ทุกอย่างแล้ว และผมก็รู้สึกว่าศาสนาเป็นเพียงสถาบัน
ทุกสิ่งที่ทำก็เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายสถาบัน
และถ้าเป็นสถาบันก็จะถูกใช้เพื่ออำนาจของใครบางคน
ครูใหญ่-- แล้วคุณเจมส์คาดหวังว่า ศาสนาควรจะให้อะไรกับคนหรือสังคม
คุณเจมส์-- ศาสนาควรจะให้คำตอบสำหรับคำถามใหญ่ๆ ของชีวิต
เช่น ชีวิตมีความหมายอย่างไร อยู่เพื่ออะไร ทำไมเราต้องเกิดมา
ครูใหญ่-- คิดว่าตนเองเป็นศาสนิกชนที่ดีไหม
คุณเจมส์-- สำหรับผมการทำอะไรต้องมีเหตุผล
แต่บางอย่างของศาสนาแค่บอกให้เราทำหรือบอกให้เราเป็นอย่างไม่มีเหตุผล
ส่วนที่ผมเห็นด้วยกับศาสนาพุทธคือ มันเป็นวิธีสำหรับการใช้ชีวิตจริง เช่น การมีสติทำให้เรามีความสุข
หรือ การมีความสุขไม่ได้หมายถึงการได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอไป เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนพิสูจน์ได้
บางอย่างของพุทธผมก็ไม่เห็นด้วย เช่น
คนที่นับถือพุทธก็จะยอมรับในความไม่ยุติธรรมได้โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นเพราะกรรม บางทีเราเห็นคนเจ็บป่วยหรือพิการ
เราก็จะไม่ยอมทำอะไร ไม่ยอมช่วยเหลือ ไม่ยอมแก้ไข เพราะเชื่อว่ามันยุติธรรมแล้ว มันเป็นเพราะกรรมของคนๆ นั้น
วิธีคิดแบบนี้ก็จะไม่ทำให้เราพร้อมที่จะแก้ไขหรือช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า
แต่ผมคิดว่าความเชื่อเรื่องกรรม ไม่ได้เป็นแก่นของพุทธจริงๆ
แต่ได้รับอิทธิพลจากฮินดู
ครูใหญ่-- เชื่อในชาติภพไหม
คุณเจมส์-- ผมเชื่อเรื่องการตายและจบ
ไม่มีภพหน้าอีก แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับยาก เพราะจินตนาการไม่ออกว่าหลังความตายจะเป็นอย่างไร ผมรู้สึกว่าความเชื่อเรื่องกรรมเป็นเพราะคนที่อยู่ในฐานะสูงสร้างขึ้น
เพื่อจัดระเบียบของสังคม เพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ จะสังเกตจาก ทุกองค์กรศาสนาจะได้รับการสนับสนุนจากองค์กรของรัฐ
ความเชื่อทุกศาสนาจะบอกว่า จะมีอีกชีวิตหลังความตาย
ครูใหญ่--
งั้นเราควรทำดีไปเพื่ออะไร ถ้าไม่เชื่อว่ามีภพหน้าให้คาดหวัง
คุณเจมส์-- ควรเชื่อว่า ไม่ได้ทำความดีเพื่ออะไร แต่ทำความดีเพื่อดี ผมเห็นหลายคนที่ไปทำอะไรให้กับวัดโดยหวังจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ตอบแทนทั้งในภพนี้และภพหน้า
ครูใหญ่-- แล้วคนแต่ละคนจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรดีอะไรไม่ดี
คุณเจมส์-- เป็นคำถามที่ยาก ผมคิดว่าแต่ละคนอาจจะลองทำดู
แล้วค่อยดูว่าอะไรที่ทำแล้วสบายใจแล้วค่อยทำ
ผมรู้ว่านี่อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดี
แต่ผมไม่เคยสับสนเลยว่าอะไรดี หรือไม่ดี
ผมได้เรียนรู้จากตายาย ว่าไม่มีใครที่จะได้อะไรจากตัวเอง เราได้สิ่งต่างๆ ทั้งหมดจากคนอื่นทั้งนั้น เราได้ร่างกายจากอาหาร เราร่ำรวยเพราะเงินจากคนอื่น
ครูใหญ่-- ใครเป็นต้นแบบของคุณเจมส์
คุณเจมส์-- ในเชิงเทคนิค คนที่เป็นต้นแบบของคนคือ Ken Tenson เค้าเป็นคนทำระบบ Unix
ครูใหญ่-- รู้สึกศรัทธาใครมากที่สุด
คุณเจมส์-- เฉพาะในประเทศอังกฤษ ผมให้ความนับถือคุณมากาเรต
เทดเชอร์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของโลก
หลายคนอาจจะไม่ชอบเค้า
เพราะเค้าอาจจะเป็นคนที่มั่นใจมากเกินไป
แต่เค้าทำให้อังกฤษเปลี่ยนแปลงเยอะมาก เช่น
ทำให้องค์กรของรัฐเล็กลงแต่มีคุณภาพมากขึ้น
ทำให้อำนาจของรัฐสภาน้อยลง เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
ในประเทศอื่นๆ ผมชอบคืออองซานซูจี ผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายค้านของพม่า ผมชอบในประเด็นที่เค้าไม่ยอมจำนน
ยึดถือหลักการในวิถีการต่อสู้ของตนเองอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เค้าได้ต่อสู้กับอำนาจที่ยิ่งใหญ่
ด้วยความอดทน โดยไม่นึกถึงแก่ตัวเอง แม้ขณะที่สามีเสียชีวิตก็ไม่ได้ไปร่วมงานศพ และผมพบว่ามีคนประเภทนี้ในโลกน้อยมาก
และไม่เห็นมีนักการเมืองคนใดในประเทศไทยเป็นอย่างนั้น ในเรื่องวิชาการ ผมชอบ Berter Russel เป็นชาวอังกฤษ เค้าเก่งในด้านปรัชญา คณิตศาสตร์
แต่ก็สนใจเรื่องสังคม เค้าเขียนหนังสือที่ดีมาก และเค้าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อต้านสงครามโลกครั้งที่
2 ส่วนในครอบครัวผมมีตายายเป็นตัวอย่าง
เค้าเป็นคนสร้างบริษัทที่ใหญ่มากขึ้นมา คือประมาณใหญ่กว่า
เทสโก้ ตาผมให้การสนับสนุนเรื่องศิลปะ
เค้าเคยให้การสนับสนุนนักศิลปะโนเนมคนหนึ่งจนกระทั่งมีชื่อเสียง บ้านของตาจะประกอบด้วยงานศิลปะของศิลปินคนนั้น ตาไม่สนใจว่าใครจะคิดหรือวิจารณ์อย่างไร
แต่เค้ามั่นใจในความคิดของตัวเอง
เป็นคนที่ทำงานละเอียดมาก
เป็นผู้ดีอังกฤษ ไม่เคยแสดงอาการฉุนเฉียวใส่ใคร
ครูใหญ่-- อะไรที่ได้จากคุณตา
คุณเจมส์-- ไม่ฟุ่มเฟือย
และได้ช่วยเหลือคนอื่น
ครูใหญ่— ณ วันนี้คุณเจมส์คิดยังไงเกี่ยวกับโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
คุณเจมส์-- ผมสมหวัง
แม้บางครั้งผู้ปกครองบางส่วนจะไม่เข้าใจ
แต่ผมก็ไม่ได้หวังแค่นี้ ผมหวังที่จะช่วยการศึกษาไทยทั้งหมด
ซึ่งที่ผ่านมาเราช่วยได้มากกว่าที่หวังเสียอีก
ผมมองว่าโรงเรียนเราประสบผลสำเร็จ
เป็นโรงเรียนที่ดี
มีคนมาเรียนรู้มากมาย โจทย์ที่เราพยายามแก้มันสำคัญมากต่อประเทศไทย
เป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศไทย
เราเคยมองว่า เราอยู่ในระดับเดียวกันกับเกาหลีใต้หรือสิงคโปร์ แต่ตอนนี้เรากลัวเวียดนามหรือกัมพูชา
มันอยู่ที่คุณภาพของคน ซึ่งผมเป็นห่วงเรื่องนี้มาก
ครูใหญ่-- ที่คุณเจมส์ครองโสดมานาน
มีมุมมองเรื่องผู้หญิงที่จะเป็นแฟนอย่างไร
คุณเจมส์-- ผู้หญิงที่จะทำให้ผมแต่งงานด้วยได้ ต้องเป็นคนที่ผมรักได้ทุกวัน และจะต้องมีคุณสมบัติเป็นแม่ที่ดี
เข้าอกเข้าใจกัน
และอยู่ด้วยกันอย่างไม่อึดอัด ต้องให้ความรู้สึกอบอุ่น สามารถเปิดเผยเรื่องต่างๆ ต่อกันและกันได้
และเคารพให้เกียรติกัน
ครูใหญ่-- ดูเหมือนชีวิตจะเกิดมามีพร้อมทุกอย่าง คุณเจมส์รู้สึกขาดอะไรบ้างไหม ต้องคิดให้ดีถึงคำถามนี้
เพราะมันหมายถึงมุมมองของชีวิตของคุณเจมส์
คุณเจมส์-- ผมรู้สึกว่าการมีลูกเป็นส่วนสำคัญของชีวิตมนุษย์ สิ่งนี้ผมยังไม่มี ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และผมก็รู้สึกได้ว่าผมยังขาด