บทสัมภาษณ์ลงในหนังสือ
“รวมมิตรคิดเรื่องการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคปฏิบัติของมวลมิตรยุคอนาล็อคและคนรุ่นดิจิทัล”
โดย สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ Thailand Knowledge Park (TK park)
ตามสำนึกของคนทั่วไปย่อมเห็นว่า การศึกษาคือหนทางไปสู่การประสบความสำเร็จในอนาคต
อันได้แก่หน้าที่การงานที่สุขสบาย เงินทอง และเกียรติยศการยอมรับจากสังคม
จึงดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง และได้ปริญญาสูงๆ
แต่ครูท่านหนึ่งกลับเห็นสวนทางว่า นี่คือกรอบคิดที่เป็นอันตรายต่อระบบการศึกษา
และได้สั่นคลอนมายาคติที่ฝังแน่นนี้
โดยการบุกเบิกโรงเรียนตัวอย่างที่ไม่มีแบบเรียน ไม่มีการสอบ
ไม่มีกฎระเบียบที่เข้มงวด ไม่มีการลงโทษ ไม่จัดลำดับความสามารถของผู้เรียน
แต่เน้นพัฒนานักเรียนไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งปัญญาภายนอกและภายใน
ร่วม 10 ปีแล้วที่ครูวิเชียร ไชยบัง
ได้วางรากฐานการศึกษาแนวใหม่ให้กับโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์
และได้ส่งต่อแนวคิดนี้กับครูเลือดใหม่หลายต่อหลายรุ่น
กว่าจะมาเป็นครูนอกกรอบ
ตอนเด็กครูวิเชียรมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นทหารอากาศ
ตามค่านิยมเดิมๆ ของคนชนบท ที่อยากทำงานมียศมีตำแหน่งหรือเป็นเจ้าคนนายคน
แต่สุดท้ายกลับสอบติดคณะคุรุศาสตร์ วิทยาลัยครูมหาสารคาม
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ชีวิตหันเหสู่ความเป็นครู
แม้ช่วงชีวิตในการเรียนในวิทยาลัยครูจะสั้นเพียง 4 ปี แต่การเรียนการสอน
กิจกรรมนอกหลักสูตร และความคาดหวังที่วิทยาลัยมีต่อนักศึกษาในโครงการคุรุทายาทรุ่นแรก
ก็ได้หล่อหลอมจิตวิญญาณความเป็นครูจนฝังรากลึก
“ผมไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไหร่
ถูกทำทัณฑ์บน 4 ครั้ง แต่ผมก็เรียนได้ดี
อาจเป็นเพราะบุคคลิกภาพส่วนตัวที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก คือกระตือรือร้นอยากรู้เรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อน”
นอกจากความใฝ่รู้แล้ว
ตัวตนที่เข้มข้นอีกด้านหนึ่งของครูวิเชียร
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลที่ทำให้เป็นครูนอกกรอบ ก็คือความขบถและหัวแข็ง
“ผมถูกเลี้ยงดูมาโดยตา
ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ ตาไม่ได้เข้มงวดมากนักจึงทำให้ผมมีความคิดที่อิสระตั้งแต่เด็ก
มักจะมีความคิดต่อต้านเรื่องราวที่ได้พบเห็นในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เชิงเกเร
แต่หัวรั้นหัวแข็ง ผมไม่เคยแสดงออกแบบก้าวร้าว แต่จะดื้อเงียบไม่ทำตามเสียเฉยๆ
แล้วคนอื่นก็จะรู้เองว่าผมคิดอะไร” ครูวิเชียรเล่า
เมื่อเรียนครูไปจนถึงปีท้ายๆ
ครูวิเชียรเริ่มตั้งคำถามกับระบบการศึกษาของไทย
และเริ่มคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้การศึกษาไทยดีขึ้นกว่าทุกวันนี้ “ตอนนั้นผมบันทึกไว้ในไดอารี่ว่า
ทำไมเราต้องเอาทฤษฎีต่างประเทศมาใช้ตลอด ทั้งๆ ที่บางทฤษฎีมีอายุเป็นร้อยปี ผมไม่เชื่อว่ามันสามารถนำมาใช้ได้จริงๆ
แล้วผมก็อยากจะสร้างทฤษฎีการศึกษาขึ้นมาเอง จากนั้นผมก็ไม่เคยลืมมัน
ไม่ถึงกับจะทำแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อมีโอกาสผมก็พยายามจะทำ”
หลังศึกษาจบ
ครูวิเชียรได้บรรจุเป็นครูที่โรงเรียนห่างไกลในจังหวัดกาฬสินธุ์
บรรยากาศที่สงบทำให้ครูใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ
อาทิผลงานของนักเขียนรัสเซียอย่างตอลสตอยและดอสโตเยฟสกี้
ซึ่งกล่าวถึงความทุกข์ยากของชีวิตและความหมายของการมีชีวิตอยู่
จากนั้นก็ได้ขยายไปอ่านงานเขียนที่มีลักษณะเดียวกัน
อย่างเช่นผลงานของนักเขียนรางวัลโนเบลอีกหลายคน
จากประสบการณ์การเป็นครู
ครูวิเชียรได้พบเห็นปัญหาและความล้มเหลวมากมายของระบบการศึกษา
เมื่อเห็นว่าการเป็นครูผู้น้อยยังไม่สามารถสร้างผลสะเทือนต่อระบบการศึกษาเท่าใดนัก
ก็มุ่งมั่นที่จะทำงานในระดับผู้บริหารการศึกษาเป็นลำดับต่อไป
โดยเป็นครูอายุน้อยที่สุดในเขตอีสานตอนล่างที่สอบได้เป็นผู้บริหารในปีนั้น
ครูวิเชียร เป็นผู้บริหารโรงเรียนได้ 5 ปี
ก็ถึงจุดผลิกผันที่สำคัญของชีวิต เมื่อได้พบกับเจมส์ คลาร์ก นักธุรกิจชาวอังกฤษ
ที่ปรารถนาจะสนับสนุนการพัฒนาชนบทไทยให้ยั่งยืน
ด้วยการสร้างโรงเรียนตัวอย่างที่มีคุณภาพ และเขาเป็นหนึ่งเดียวที่ถูกคัดเลือกให้ทำหน้าที่ครูใหญ่
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงถูกเลือก
แค่อาจเห็นความหวังบางอย่างในตัวผม
คุณเจมส์รู้แต่เพียงว่าอยากจะสร้างโรงเรียนดีๆ สักแห่ง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
คุณเจมส์เคยพูดไว้ว่า สิ่งเดียวที่สำคัญที่ทำให้กับโรงเรียนนี้
คือเลือกคนถูก”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น