บทสัมภาษณ์ลงในหนังสือ
“รวมมิตรคิดเรื่องการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคปฏิบัติของมวลมิตรยุคอนาล็อคและคนรุ่นดิจิทัล”
โดย สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ Thailand Knowledge Park (TK park)
กฎระเบียบคือเครื่องบีบรัดจิตวิญญาณ
เมื่อโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนารับครูรุ่นแรก ในปี 2546
ครูวิเชียรและครูใหม่ได้ล้อมวงสนทนากันถึงประสบการณ์ในโรงเรียนที่ตนไม่ชอบเมื่อวัยเด็ก
เพื่อที่จะไม่สร้างเงื่อนไขเหล่านั้นให้เกิดขึ้นอีก
“เราไม่เคยเชื่อเลยว่า
การที่มายืนเข้าแถวแล้วมานั่งตากแดดฟังครูพูดตอนเช้า จะทำให้เราเป็นคนดี
เราไม่ชอบที่มีใครมาบอกว่าเรามีความรู้เท่านั้นเท่านี้ ทั้งที่เรามีมากกว่านั้น
หรือมีทักษะอื่นที่เขาไม่เห็น เมื่อเราไม่ชอบ เราก็จะไม่ทำกับเด็ก” ครูวิเชียรเล่า
มีครูจำนวนไม่น้อย ที่เข้าใจว่าการลงโทษ ดุตีด่าว่า
จะทำให้เด็กเติบโตเป็นคนดี
แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการกระทำที่ไม่เคารพความเป็นมนุษย์ในตัวเด็ก กรอบกติกาต่างๆ เป็นเครื่องบีบรัดจิตวิญญาณของเด็กให้ไม่กล้าเรียนรู้
และไม่กล้ายกระดับตนเองขึ้น ครูวิเชียรเชื่อว่าถ้าเด็กรู้สึกว่าตนได้รับคุณค่า จะทำให้เป็นเด็กที่กล้าแสดงออก
กล้าพูด กล้าทำ เพราะไม่รู้สึกผิด ขณะเดียวกันก็จะรู้จักการเคารพคนอื่น
รวมทั้งเคารพสิ่งรอบตัวด้วย
รูปธรรมที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาก็คือ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
ไม่มีเด็กขีดเขียนตามฝาผนังเพราะมีความเคารพต่อสถานที่ เด็กรู้จักหน้าที่ของตน
มาถึงโรงเรียนตรงเวลาเพื่อทำกิจกรรมหน้าเสาธง เข้าเรียนและทำกิจกรรมต่างๆ
โดยไม่ต้องมีใครบอก และโรงเรียนก็ไม่มีเสียงออดหรือเสียงระฆัง
ปัญญาภายนอก VS ปัญญาภายใน
ครูวิเชียรมองว่า
กะลาใบใหญ่ที่ครอบระบบการศึกษาไทยอยู่คือการยึดติดใน “ความรู้” ซึ่งเป็นแค่เพียงส่วนเปลือกของการศึกษา
แท้ที่จริงแล้วคุณค่าของการศึกษาอยู่ที่การก่อให้เกิดความเจริญงอกงามทางปัญญา
อันประกอบด้วยปัญญาภายนอก ซึ่งหมายถึงความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่อยู่รอบตัว
และอีกส่วนหนึ่งคือปัญญาภายใน ซึ่งหมายถึงความเข้าใจตนเองและธรรมชาติของชีวิต
ดังนั้นเป้าหมายที่ชัดเจนของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
คำนึงถึงการก่อเกิดปัญญาทั้งสองส่วน
นับตั้งแต่การเปิดสอนปีแรก
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ทดลองใช้เครื่องมือสำหรับบ่มเพาะปัญญาภายนอกหลายหลายวิถีทาง
เช่น การบูรณาการโดยใช้ Story Line ซึ่งช่วยให้เด็กเรียนรู้อย่างสนุกสานเพลิดเพลิน
แต่กลับไม่ได้นำพาไปสู่แก่นแท้ของความรู้ได้จริง ต่อมาก็บูรณาการโดยProject Based Learning ซึ่งเอื้อให้เด็กได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง แต่ยังไม่ได้ให้อิสระเด็กเลือกเรียนในสิ่งที่อยากเรียนรู้
จนในที่สุดก็พบว่าแนวทางการสอนที่เหมาะสมคือการบูรณาการโดย Problem-Based Learning ซึ่งเติมเต็มเรื่องการเรียนรู้อย่างสอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน
ไปพร้อมกับการลงมือปฏิบัติจนเกิดทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตจริงๆ
“การนำปัญหามาเป็นสิ่งกระตุ้นในการเรียนรู้ เป็นการสร้างความเสียสมดุลในตัวเด็ก
แล้วเด็กจะหาทางที่จะรักษาความสมดุลนั้น ด้วยกระบวนการที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน
เอาทักษะและความรู้มารวมกัน เพื่อสร้างนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหา
พอเขาได้แก้ปัญหาบ่อยๆ ก็จะเพิ่มทักษะ เพิ่มความเข้าใจ
ทำให้มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันที่แข็งแกร่ง”
การเรียนรู้อย่างอิสระเริ่มต้นด้วยการให้นักเรียนได้เลือกในสิ่งที่ตนสนใจ
และคิดว่าเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
รวมทั้งได้การออกแบบการเรียนรู้ว่าตนอยากจะสร้างนวัตกรรมอะไร
โดยมีครูเป็นผู้มีบทบาทช่วยสนับสนุนให้เด็กได้แก้ปัญหาเหล่านั้น
และวิเคราะห์ความเชื่อมโยงกับมาตรฐานและตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ
ส่วนปัญญาภายในซึ่งไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยการพร่ำสอนของครู
ครูวิเชียรได้นำกระบวนการ “จิตศึกษา” มาใช้เป็นเครื่องมือในการบ่มเพาะ
หลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดก็คือ
การเคารพคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมซึ่งเป็นจิตวิทยาเชิงบวก
การจัดกิจกรรมตามแนวคิดนี้จะมุ่งเน้นให้เด็กมีความรักที่เผื่อแผ่
เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งอื่น และมีสติรู้สึกตัวได้เร็ว
สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญงอกงามภายใน จะต้องมีลักษณะเป็นองค์กรแบบเปิด
ที่ทุกคนเรียนรู้ร่วมกัน มีอุดมการณ์ร่วมกัน เคารพกัน และมีความเป็นกัลยาณมิตร
ครูวิเชียรกล่าวถึงความสำคัญของปัญญาภายในว่า “การจะอยู่บนโลกนี้ได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมข้างนอก
แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่อยู่ข้างใน หากเราสามารถสร้างปัญญาภายในให้เข้มแข็งพอ
เด็กจะมีวุฒิภาวะและภูมิคุ้มกันชีวิต
ไม่ว่าจะมีแรงกระแทกจากภายนอกแค่ไหนเขาก็จะผ่านมันไปได้”
รื้อกระบวนทัศน์การประเมินแบบชี้ถูกชี้ผิด
เมื่อกรอบคิดทางการศึกษาข้ามพ้นไปจากเรื่องของวิชาความรู้
แนวคิดการประเมินผลแบบเดิมๆ ก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกต่อไป ครูวิเชียรมองว่า
การประเมินผลควรจะเป็นกระบวนการยกระดับผู้เรียนให้พัฒนาไปข้างหน้า
ต่างจากเครื่องมือตัดสินเด็กโดยการให้เกรดแบบที่คุ้นเคยกันในระบบการศึกษา
“ถ้าเราประเมินความรู้
คนจะวิ่งหาความรู้ ถ้าประเมินความสวย คนจะวิ่งหาความสวย ถ้าประเมินเอกสาร
คนก็จะจัดการเรื่องเอกสาร การประเมินของประเทศไทยเป็นปัญหาต่อการศึกษา
เพราะชี้นำไปที่ความรู้” ครูวิเชียรกล่าว
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจึงไม่มีระบบสอบปลายภาค
แต่จะให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการประเมินการเรียนรู้ของตนเอง โดยการreflection คือการพินิจอย่างใคร่ครวญ
และรับฟังเสียงสะท้อนจากครูและเพื่อนๆ ด้วยความเมตตา
ซึ่งก่อให้เกิดการประเมินและการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่ถูกวัดไม่ใช่ความรู้
แต่เป็นการวัดความเข้าใจ และทักษะที่เด็กได้แสดงออกมา
“การแก้ปัญหา
การสร้างนวัตกรรม การคิดหลายระดับ การคิดเชิงตรรกะ การดูแลสุขภาพ
การดูแลสิ่งแวดล้อม การประกอบการ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะมากกว่าเป็นความรู้ แม้แต่คุณธรรมก็เป็นทักษะเพราะไม่ใช่สิ่งที่เก็บไว้ในใจแล้วรู้สึกแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์แสดงออก
ทักษะเป็นพฤติกรรมที่เกิดซ้ำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเด็กเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ได้เสมอแปลว่า เขามีทักษะในการเรียนรู้
ถ้าเด็กสร้างนวัตกรรมได้ทุกครั้งที่ครูเสนอปัญหาให้
แปลว่าเขามีทักษะในการคิดและการสร้างนวัตกรรม” ครูวิเชียรอธิบาย
ครูอุปมาให้เข้าใจถึงการประเมินตัวบุคคลว่า “ถ้าเรายิ่งประเมินละเอียดเราจะเห็นเรื่องที่หยาบ
นั่นก็คือเราแยกสิ่งที่จะถูกประเมินจนเป็นส่วนย่อยๆ แล้วก็ดูแต่สิ่งนั้น แต่หากเราประเมินรวมๆ
ดูกลมๆ เราจะเห็นความงอกงามของเด็กได้ละเอียดใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า
แต่ระบบการศึกษาไม่ทำอย่างนั้น เพราะจับต้องยากและไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน"
ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนทางเลือก แต่เป็น “โรงเรียนนอกกะลา”
ทุกวันนี้
เมื่อการศึกษากระแสหลักยังไม่สามารถตอบโจทย์ที่แท้จริงของคนในสังคมไทย
จึงเกิดโรงเรียนทางเลือกแนวทางใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อย
ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นโรงเรียนเอกชนที่มีค่าเล่าเรียนสูง
หลายคนเข้าใจว่าโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนทางเลือก
ครูวิเชียรปฏิเสธนิยามดังกล่าว
โดยให้เหตุผลว่า
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาพยายามเป็นโรงเรียนตัวอย่างเพื่อให้โรงเรียนของรัฐนำบทเรียนที่เกิดขึ้นไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น
ปัจจัยต่างๆ ของที่นี่ไม่ได้แตกต่างจากโรงเรียนรัฐทั่วไป
เด็กได้เข้ามาเรียนโดยการจับสลาก งบประมาณต่อหัวก็ต่ำกว่า
แต่สิ่งสำคัญที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาแตกต่างออกไปก็คือกระบวนการเรียนการสอน
แม้จะปรารถนาที่จะเป็นโรงเรียนตัวอย่าง
แต่ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจะสามารถเป็นแม่แบบให้โรงเรียนอื่นได้หยิบฉวยหลักสูตร
หรือแบบเรียนใดๆ ไปใช้ได้อย่างสำเร็จรูป “หลักสูตรมันเริ่มเก่าตั้งแต่เราเริ่มทำ
ถ้าครูยังติดยึดอยู่กับหลักสูตรอยู่สิบปี มันจะล้าสมัยขนาดไหน โลกเปลี่ยนไปทุกวัน
กระบวนการเรียนรู้ของครูและเด็กก็จะต้องเปลี่ยนด้วย” ครูวิเชียรกล่าว
การเรียนรู้ของครูก็เหมือนกับการเรียนรู้ของเด็ก
คือควรจะเกิดจากการลงมือปฏิบัติด้วยประสบการณ์ของตนเอง จนเกิดเป็นความเข้าใจที่แท้จริง ครูวิเชียรคาดหวังว่า “อยากให้ครูที่เข้ามาดูงานเห็นเป้าหมายใหญ่ๆ
เหมือนเรา แล้วกลับไปสร้างองค์กรการเรียนรู้ด้วยวิธีของเขา เกิดความภูมิใจในองค์กรตนเอง
ขอให้เน้นผลที่จะเกิดขึ้นกับเด็กที่เขาจะอยู่ในโลกอีก 10 ปีข้างหน้า
การได้เรียนรู้ร่วมกัน จะทำให้เกิดชุดความรู้ใหม่ทั้งหมดในองค์กร เกิดทักษะร่วม
ความรู้สึกร่วม รู้สึกว่าฉันมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์
รู้สึกว่าเราได้ยกระดับจิตวิญญาณกันและกัน
สัมพันธภาพที่ดีและความหมายต่อการทำงานก็จะเกิดขึ้น”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น