โรงเรียนคือส่วนหนึ่งของกระบวนการนำการศึกษาเข้าไปสู่ผู้คนอย่างเป็นรูปแบบ รูปแบบโรงเรียนก็เป็นกรอบชนิดหนึ่งที่อาจจะครอบงำเราไว้อีกชั้นก็ได้หากมองไม่เห็นสิ่งสำคัญในหน้าที่ที่โรงเรียนควรเป็น โรงเรียนส่วนใหญ่ติดอยู่ในวังวนของการสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการ การแข่งขัน การเปรียบเทียบ การวัดความรู้ การตีค่าอย่างผิวเผิน การใช้อำนาจในเชิงควบคุม การกระตุ้นความอยากหรือความกลัว สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้จิตวิญญาณของผู้เรียนยิ่งตีบตัน
โรงเรียนควรเป็นสถานที่ที่จะเกื้อหนุนให้ครูและผู้เรียนได้เบ่งบานในความดีงามทั้งต่อกันและกัน และ ต่อสรรพสิ่ง เป็นที่สร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างตื่นรู้ให้แข็งแกร่ง การเรียนรู้อย่างตื่นรู้จะนำไปสู่ปัญญาซึ่งจะปลอดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้ในที่สุด ความเป็นอิสระไม่ได้หมายถึงได้ดั่งใจทุกอย่างแต่หมายถึงสภาวะที่ปลอดโปร่งและเป็นสุข เป็นสภาวะที่อยู่ด้านใน
ในสภาวะที่ยังอยู่ในที่ครอบที่เหมือนกบในกะลาแคบๆ เราจะถูกจำกัดศักยภาพ มองเห็นได้แคบ เห็นแก่ตัวเอง มองไม่เห็นความเชื่อมโยงของทั้งหมด รู้สึกอึดอัดบีบคั้น และ เป็นทุกข์
เมื่อออกนอกกะลาครอบ เราจะอิสระ ปลอดโปร่ง เห็นกว้าง และจะสามารถเชื่อมโยงตัวเองกับสรรพสิ่งได้ในที่สุด ขณะนั้นปีติสุขก็บังเกิดขึ้น
การตื่นรู้ และ ความกล้าหาญ จะช่วยทลายกรอบให้เราออกนอกกะลาได้
กรอบความคิดหลักของเราที่ถูกหล่อหลอมไว้ในจิตใต้สำนึก ซึ่งจะกลายเป็นฐานความเชื่อใหญ่และมาตรวัดภายในเรา ฐานความเชื่อใหญ่นี้จะทำหน้าที่กำกับชีวิตเราตลอดมาโดยที่เราไม่รู้ตัว ทั้งบุคลิกภาพ การกระทำและความคิดที่เราแสดงออกไป แน่ล่ะ เราจะเชื่อว่าถูกต้องเสมอทั้งนี้เพราะการเทียบเคียงหรืออ้างอิงกับมาตรวัดของเราเอง ถึงแม้บางครั้งสิ่งนั้นอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ตาม นั่นคือบางครั้งเราอาจจะถูกหลอกด้วยกรอบคิดหลักของเราเอง เราต้องตื่นรู้และกล้าหาญที่จะยอมรับว่าสิ่งที่เราทำหรือสิ่งที่เราคิดนั้นไม่ถูกต้องเสมอไป การรับรู้และการเรียนรู้สภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปจะช่วยให้เราสามารถปรับฐานความเชื่อใหญ่ภายในตัวเรา เพื่อให้หลุดจากกรอบความเชื่อเดิมๆ ได้
การมองหาทางเลือกใหม่ๆ และการสร้างโอกาสให้ปรากฏการณ์ใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นโดยที่ไม่เร่งรีบตัดสินความเป็นไปได้จะเป็นอีกทางที่จะปรับกรอบความคิดหลักและฐานความเชื่อใหญ่ให้ตรงกับความจริงของโลกที่เปลี่ยนไปได้มากขึ้น วิธีการดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการมุ่งโจมตีกรอบความคิดเก่า แต่เพื่อให้มีทางเลือกหรือให้เห็นมุมมองหรือโอกาสอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเองเมื่อเราตื่นรู้และรู้ตัวได้เท่าทันกับการถูกหลอกจากสิ่งที่อยู่ในตัวเราเอง
ด้วยเหตุนี้ แนวคิดโรงเรียนนอกกะลา จึงได้เกิดขึ้น เราพยายามมองหาโอกาสให้ปรากฏการณ์ใหม่ทางการศึกษาได้เกิดขึ้น จากอดีตถ้าเรามองย้อนกลับแล้วใคร่ครวญอย่างเป็นธรรมเราก็จะพบว่าทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างมีการวิวัฒน์มาเป็นลำดับพร้อมกับการวิวัฒน์ทางสมองของมนุษย์ ความรู้ความเข้าใจ แนวคิด และ วิธีการของแต่ละอย่างในแต่ละช่วงเวลาก็เหมาะกับสภาพสังคม สภาพความเป็นอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ แต่ในทางการศึกษาไม่ว่าจะเป็นกรอบคิด และวิธีการ เราวิวัฒน์ได้ช้ากว่าสภาพสังคมและสภาพการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป การศึกษาต้องสนองตอบให้เท่าทันกับความต้องการและความจำเป็นของสภาพสังคมหรือสภาพการดำเนินชีวิตของผู้คน
เริ่มต้นจากการเปิดประสาทสัมผัสทั้งมวลเพื่อรับรู้สภาพที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ ณ ปัจจุบัน เผชิญหน้าและความท้าทาย การปรับเปลี่ยนกรอบความคิดหลักและฐานความเชื่อใหญ่ในจิตใต้สำนึกบางครั้งอาจต้องน้อมรับความเจ็บปวดจากการที่ต้องรับรู้ว่าสภาพความเป็นจริงไม่ได้เป็นจริงอย่างที่เรารู้
การตระหนักต่อการรับรู้ให้เท่าทันข้างนอกที่เปลี่ยนไปมีความจำเป็นต่อการปรับสมดุลในตัวเราในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการกระทำต่างๆ ได้อย่างประณีตยิ่งขึ้นเช่นกัน
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับ 75 30 ต.ค.-5 พ.ย. 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น