เซลล์กระจกเงาในสมองนั้นทำงานตลอดเวลา การสร้างชุมชนที่สะอาด ร่มรื่น สวยงาม ปลอดภัย ใกล้ชิดกับธรรมชาติทั้งดิน ลม แสงแดด ต้นไม้ และ อยู่ห่างไกลจากสิ่งรบกวนภายนอก เช่น เสียงดัง มลพิษ ร้านเกม ห้างสรรพสินค้า จะทำให้เด็กๆ ได้อยู่ในบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เกื้อหนุนเมล็ดพันธุ์ที่ดีในจิตให้เติบโต ในโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนานั้นไม่มีสหกรณ์ร้ายค้า ไม่มีร้านขายขนมที่มีประโยชน์น้อยกว่าโทษ เช่น มีน้ำตาลสูง ไขมันสูง แพงเกินจริงเพราะการโฆษณา ขนมที่เด็กๆ ได้กินส่วนใหญ่จะเป็นผู้ปกครองอาสาสมัครมาพาเด็กทำทุกสัปดาห์
นอกจากสภาพแวดล้อมในชุมชน(ในที่นี่หมายถึงโรงเรียน) แล้ว การที่มีเจ้าหน้าที่หรือครูที่เป็นกัลยาณมิตรที่คอยเกื้อหนุนให้คำแนะนำและให้ความรักความเมตตาเสมอก็มีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงทางจิตใจของเด็ก ความรู้สึกปลอดภัยไม่ถูกคุกคามจะกระตุ้นการเรียนรู้และแรงจูงใจเชิงบวกได้อย่างดี
สัมพันธภาพของคนในชุมชนส่งผลมากที่สุดต่อบรรยากาศทั้งหมดภายในชุมชน แม้บางครั้งจะมีเพียงไม่กี่คนที่ทะเลาะกันแต่จะส่งผลต่อความรู้สึกของคนทั้งหมด การสร้างวิถีชุมชน(วัฒนธรรมองค์กร)ร่วมกันจะรักษาความสัมพันธ์ที่บางครั้งอาจร้าวฉานให้กลับมาดีได้ง่าย
วิถีชุมชนจะก่อให้เกิดพลังของความลื่นไหลร่วมกัน ความลื่นไหลไม่ได้หมายถึงการอยู่เฉยโดยไม่มีอะไรทำ การมีสิ่งที่ต้องทำมากมายตลอดวันก็ทำให้เกิดความลื่นไหลได้ อาการติดขัดหรือความไม่ลื่นไหลอาจดูได้จากอาการขุ่นมัวในจิตตอนสิ้นวันก็ได้ ความลื่นไหลที่แท้จริงจะนำไปสู่จิตที่มีปีติ
การหล่อเลี้ยงสัมพันธภาพที่ดีให้คงอยู่ได้เป็นเรื่องละเอียด ต้องทำกันอยู่เสมอด้วยกิจกรรมหรืองานประเพณีของชุมชนอย่างหลากหลายแยบยล
การปฏิบัติในวิถีโรงเรียนจะต้องทำอย่างมีความหมาย มีเหตุผล และคงเส้นคงวา ในขณะเดียวกันโรงเรียนยังต้องตระหนักอยู่เสมอว่าผู้ปกครองทุกคนมีส่วนเกื้อกูลต่อความก้าวหน้าของเด็ก การสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการอย่างหลากหลายจะช่วยให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญต่อการพัฒนาในเชิงจิตวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม ในที่สุดผู้ปกครองจะเข้ามามากขึ้นพร้อมที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในโรงเรียน เมื่อผู้ปกครองได้เรียนรู้วิถีชุมชนจากบทเรียนที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ผู้ปกครองก็จะนำกลับไปสู่ชุมชนจริงของตนเอง
วิถีเป็นการกระทำซ้ำที่จะช่วยในการบ่มเพาะ ทั้งความมีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่งเป็นเครื่องมือกำกับตนเองจากด้านใน เมื่อกลายเป็นอุปนิสัยจิตของเด็กจะไม่รู้สึกขัดขืน ในที่สุดโรงเรียนไม่จำเป็นต้องใช้การควบคุมจากภายนอก เช่น เสียงระฆัง กฎหรือข้อตกลงร่วมกันจะน้อยข้อไปเอง ทั้งนี้ครูต้องอยู่ร่วมในวิถีอย่างคงเส้นคงวาเช่นกัน
การออกแบบวิถีชีวิตในโรงเรียนยังต้องคำนึงถึงธรรมชาติของร่างกายและสมอง
ช่วงเช้าตั้งแต่เด็กมาถึงโรงเรียนจนถึงช่วง “จิตศึกษา” ให้เด็กได้ทำกิจกรรมที่บ่มเพาะความงอกงามด้านในโดยใช้ฐาน “ใจ” เป็นหลัก ช่วงสายเป็นการเรียนรู้ที่ใช้ฐาน “สมอง” เป็นหลัก
ช่วงบ่ายให้เด็กได้เรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติคือการใช้ฐาน “กาย” เป็นหลัก
การดำเนินตามวิถียังต้องระวังความเป็น Comfort Zone หรือ การติดสุข ติดอยู่กับความสบาย ในวิถีจะต้องมีระดับความยากพอต่อการขัดเกลาข้างใน
กรุงเทพธุรกิจ (กายใจ) ฉบับที่ 89 (12-18 ก.พ. 2555)
กรุงเทพธุรกิจ (กายใจ) ฉบับที่ 89 (12-18 ก.พ. 2555)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น