ติดตามเรื่องราว

..เรียนรู้ จากความยาก..-
บางทีการทำให้เส้นทางสู่ความจริงคดเคี้ยวมากขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เกิดระทางที่ยาวไกลขึ้นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตที่ต้องการเวลากับการค้นหาความหมาย นั่นล่ะ -PBL




วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรียนรู้สู่ความเป็นสากล ผ่านวรรณกรรม

บทสัมภาษณ์ลงในนิตยสารแม่และเด็ก

อธิษฐานสิจ๊ะกับนางฟ้าสีเขียว...ชื่อเรื่องน่ารักเชียว
    “ผมพบว่า เด็กๆ แต่ละคนที่พออยู่ในวัยสัก 2 - 3 ขวบถึงสี่ขวบ จะมีสีใดสีหนึ่งที่ชอบเป็นพิเศษ และแต่ละคนก็ไม่ได้ชอบสีเดียวกัน  นั่นเป็นวิถีของแต่ละคน บางคนชอบสีฟ้า จะกินอะไรก็เป็นสีฟ้า อยากได้อะไรก็สีฟ้า คนที่ชอบสีเขียว อยากจะกินไอติมอร่อยหรือไม่อร่อยก็ชั่ง แต่ขอให้เป็นสีเขียว อะไรอย่างนี้  ผมกำลังจะบอกว่าเด็กแต่ละคนเขาก็จะมีวิถีของเขา แล้วมีวิธีคิดของเขา เพราะฉะนั้น ในเรื่องของอธิษฐานสิจ๊ะกับนางฟ้าสีเขียว เด็กคนนี้จะมีวิธีคิดของตัวเอง
    ...ซึ่งแน่นอนว่า คนรอบข้างก็จะมองว่า ผิดบ้าง ถูกบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะมองว่า ผิด เพราะมันไม่เป็นอย่างที่เราต้องการหรืออย่างที่เราคิด  แล้วตัวละครก็จะดำเนินไปทั้งก่อนเข้าเรียน และระหว่างเข้าเรียนช่วงต้นๆ สิ่งที่ผมสื่อก็พยายามจะบอกให้ทั้งครู และพ่อแม่เข้าใจว่า เด็กๆ คิดอะไร แล้ววิธีคิดเป็นยังไง ทั้งในช่วงก่อนเข้าเรียน และก็ขณะที่เข้าเรียน”
“ไม่มีผลงานใดสมควรได้รับรางวัลชนะเลิศ” ทัศนะต่อคณะกรรมการตัดสิน
    “ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มันเป็นมาตรฐานของคนวัด ซึ่งคนวัดเอง ก็มีแค่สี่ห้าคน แล้วคนวัดเองก็ไม่ใช่เด็ก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการสื่อไม่ใช่สื่อให้เฉพาะผู้ใหญ่สี่ห้าคนนั้น แต่สิ่งที่เราสื่อคือให้เด็กๆ ให้พ่อแม่ และครู ที่ทำงานกับเด็ก  เพราะฉะนั้น อย่างไรก็ตามมันยังทำงาน แม้ว่าไม่ได้รางวัลที่หนึ่ง มันก็ยังทำงานในหน้าที่ของทำเพื่อเด็ก และเยาวชน ซึ่งสำคัญที่สุด  รางวัลเป็นเพียงสิ่งที่จะทำให้คนรู้จักหนังสือ  จะทำให้คนได้ใช้ประโยชน์มันได้มากขึ้น ผมเชื่อว่า คนที่เขียนแล้วได้รางวัลโนเบลหลายคน หรือเกือบทุกคน เขาไม่ได้สนใจรางวัล  แต่สิ่งที่เขาสนใจคือ เขาได้สื่อสารเหล่านั้น ถึงผู้รับสารมั้ย และสารเหล่านั้นได้ยกระดับผู้คนขึ้นมั้ย”
ตราประทับรางวัลกับความรู้สึกรักการอ่าน
    “ตอนนี้ สังคมของไทยเรายังต้องใช้อยู่ หมายความว่า ความรู้สึกรักการอ่าน หรือการกล่อมเกลาให้เด็กรักการอ่าน มันต้องมีตัวอย่าง ทีนี้ ถามว่า คนไทยมีเปอร์เซ็นต์การอ่านหนังสือกี่เปอร์เซ็นต์ ผมเข้าใจว่า ประมาณไม่กี่บรรทัดต่อปี  แต่สิ่งนี้จะช่วยดึงดูดให้พ่อแม่อ่าน ที่จริงแล้วไม่ต้องบอกให้เด็กอ่าน แค่พ่อแม่นอนอ่านหนังสือทุกวันๆ เด็กๆ จะรักการอ่านหนังสือโดยอัตโนมัติ เขาจะเริ่มงมจากสิ่งที่ไม่รู้ เมื่อได้รู้เขาก็จะสนุกกับมัน  แล้วสุดท้ายเขาจะติดหนังสือ แต่อันหนึ่งน่าสนใจนะ ถ้าพ่อแม่สนใจหนังสือประเภทไหน เด็กจะมีแนวโน้มที่จะสนใจหนังสือประเภทนั้นมากเช่นกัน”
คุณค่าของรางวัลทางวรรณกรรมเยาวชน
    “ผมว่าดีหมด และควรพยายามที่จะสร้างเวทีเพื่อให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นเยอะๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเด็กๆ อย่างในโรงเรียนนอกกะลา (โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา) เราไม่ใช้แบบเรียนภาษาไทยในการสอนภาษา  เราเอาวรรณกรรมไปสอนเลย ตั้งแต่ ป.1 จนถึง ป.6 เราใช้วรรณกรรมชั้นละ 4 เรื่อง 4 ประเภท   ประเภทแรกก็จะเป็นกลุ่มนิทาน ก็จะเลือกตามระดับยากง่ายไป  อย่าง ป.5-6 ก็จะเรียนนิทานเวตาล  ผมมองว่ามันเหมาะกับเยาวชน   ประเภทที่ 2 ก็จะเป็นพวกวรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศ  ประเภทที่ 3 ก็จะเป็นวรรณกรรมเยาวชนไทย และ  ประเภทที่ 4 ก็เป็นวรรณคดี ทั้ง 4 อย่างนี้ก็ให้ประโยชน์คนละแบบ อย่างนิทานก็ให้ข้อคิดแบบตัดฉับๆ แต่ว่าในเรื่องของวรรณกรรมก็ค่อยๆ ละเลียดอารมณ์ไป ในเรื่องของวรรณคดี ก็เป็นแนวคิดของสังคมที่เป็นรากเง้าเดิมๆ ส่วนแนวคิดของวรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศ ก็จะออกมาเชิงความรู้สึกที่เป็นสากล
    ...ซึ่งเราไม่มีแบบเรียนภาษาไทย เราใช้วรรณกรรมในการสอน แล้วถอดความ ถอดคำ ถอดอะไรต่างๆ ออกจากวรรณกรรมมา แล้วเราจะเริ่มไล่เรียงจากง่ายไปหายาก สั้นไปหายาว   อย่าง ความสุขของกะทิ และ เจ้าชายน้อย เราให้เรียน ป.3  หรือเจ้าชายไม่วิเศษ เรียน ป.1 อะไรอย่างนี้ครับ แต่ถ้าเป็นเด็กชั้นโตก็จะเป็นวรรณกรรมที่ยาวขึ้น ชั้นป.5-6 จะได้เรียนจากวรรณกรรมของลีโอ ตอลสตอย หรือ ตอสโตเยฟสกี้  ซึ่งเราต้องใส่ใจในการเลือก   วรรณกรรมจะให้ความละเอียดอ่อนทางด้านจิตใจ  ความงามของการใช้ภาษา  สิ่งนี้หนังสือทั่วๆ ไปสอนไม่ได้   และสิ่งที่สำคัญที่เด็กจะได้จากวรรณกรรมก็คือ หนึ่งได้เรียนรู้ชีวิตผ่านแบบแบบจำลองชีวิตในวรรณกรรมซึ่งเขาไม่มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตอย่างนั้นจริงๆ   สองก็คือเขาได้ซึมซับความละเมียดละไมของอารมณ์ผ่านตัวละคร  และอย่างที่สามเขาจะได้มีโอกาสซึมซับในเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม หรือค่านิยมที่ผู้เขียนสอดแทรกไว้”
ลิตเติ้ลทรี และผองเพื่อนวรรณกรรมเยาวชนที่ควรเลือกหยิบอ่าน
    “วรรณกรรมเยาวชนนะครับ ก็มีลิตเติ้ลทรี แล้วก็ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน เจค็อปคนทำขนมปัง หรือไม่ก็ต้นส้มแสนรัก เจ้าชายน้อย ถ้าเป็นญี่ปุ่นก็โต๊ะโตะจัง  อันนี้ก็อ่าน แต่ผมเอ่ยลิตเติ้ลทรีก่อนนะ เพราะชอบเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่ง หลังจากพ่อแม่ตายก็ไปอยู่กับปู่กับย่าในป่าที่เป็นอินเดียแดง ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตในวิถีของคนป่า ของวิถีอินเดียแดงอย่าแท้จริง ความเชื่อและทัศนคติที่ปู่กับย่าปลูกฝังให้ แต่ทีนี้ เขาอยู่อย่างนั้น เขาก็ค่อยเติบโต
    ...แต่ขณะเดียวกัน สังคมข้างนอกก็เริ่มรุกราน รุกรานเข้าไปถึงในป่า รุกรานวัฒนธรรมของอินเดียแดง บางอย่างสิ่งที่อินเดียแดงเชื่อว่าถูกก็กลายเป็นผิดตามกรอบของความเชื่อใหม่ และสุดท้าย หลังจากที่ปู่กับย่าตาย เขาต้องออกจากป่า เพราะว่าถูกเล่นงานทางด้านกฎหมายและอยู่ไม่ได้ แล้วออกมารับใช้ระบบ ซึ่งก็เป็นความเจ็บปวดมากที่วิถีนึงถูกรุกรานด้วยวิถีนึง  จากเรื่องนี้ทำให้ผมตระหนักมากๆ ว่า เราต้องเคารพของวิถีของแต่ละวิถี เราไม่ควรรุกรานวิถีของกันและกัน”
ยุคสมัยแห่งแฟนตาซี อาทิ แฮร์รี่ พอตเตอร์, เพอร์ซี่ย์ แจ็คสัน ฯลฯ
    “ผมว่า วรรณกรรมดีหมด คือข้อดีของการอ่านงานวรรณกรรมก็คือการสร้างการจดจ่อ  การจดจ่อที่ยาวนานจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเรียนรู้ การจดจ่อทำให้เกิดการใคร่ครวญ ความเข้าใจแบบลึกๆ ต้องอาศัยการจดจ่อและการใคร่ครวญ   แต่ถ้าเด็กได้ดูหนัง หรือดูทีวี พวกนี้ก็จะมีภาพที่ฉับไว มีแสงสีเสียงที่วูบวาบ และก็จะถูกดึงความสนใจก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  การคงสมาธิจะสั้นสู้เด็กที่อ่านวรรณกรรมไม่ได้   ทีนี้ ถ้าถามว่า วรรณกรรมในเชิงแฟนตาซีหรือแบบอื่นๆ อย่างไหนดี ผมมองว่า ไม่ได้ต่างกัน
    ...แต่ว่า วรรณกรรมที่ดีควรจะมีแบบจำลองชีวิตจริงที่ดีงามซ่อนไว้ด้วย   แต่ไม่ได้บอกว่า ไม่ให้มีจินตนาการนะครับ  ทั้งต้องโยงกับอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสากลด้วยอย่างเช่น ความฝัน ความทุกข์ ความเศร้าหมองเจ็บปวด ความรัก ความกล้าหาญ เป็นต้น”
เปรียบเทียบ...วรรณกรรมเยาวชนไทยกับต่างประเทศ
    “ผมมองว่า ไม่ต่างกัน ใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน แต่ว่า ในส่วนไทย เวลาคนเขียนๆ ลงไปก็จะมีความเป็นไทยอยู่ ทั้งการใช้ภาษา วัฒนธรรม ค่านิยม ด้วยความคิดที่ใส่ลงไปก็จะเป็นแบบไทยๆ เด็กก็จะรับได้ง่าย แต่ไม่ใช่หมายความว่า วรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศเด็กจะรับไม่ได้ เพราะพวกนี้มันมีความเป็นสากลอยู่ ผมเรียกว่า วรรณกรรมสื่อความเป็นสากล คือเวลาเราพูดถึงความเป็นสากล เรามักจะได้ยินคำนี้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในหลักสูตรก็มี ในนโยบายของรัฐบาลก็มี ที่อยากจะพัฒนาเด็กไปสู่ความเป็นสากล
    ...ซึ่งคนตีความ ของความเป็นสากลว่า การใช้คอมพิวเตอร์เป็น การใช้ภาษาอังกฤษได้ แต่ผมมองว่า นั่นไม่ใช่ความเป็นสากล ความเป็นสากลคือทุกคนรู้สึกสัมผัสได้ถึงสิ่งเดียวกัน เช่น มีคนมาทำร้ายเรา เราเจ็บปวด ทุกคนเหมือนกันหมด นี่คือสากล  ไม่ชอบให้ใครมาทำร้ายเรา  เหงา  รัก  ฝัน  แล้วสิ่งที่ถ่ายทอดความเป็นสากลแบบนี้ได้ คือวรรณกรรม เพราะฉะนั้น วรรณกรรมคือสื่อสิ่งเดียวที่เชื่อมความเป็นสากลได้ดีที่สุด ไม่ใช่คอมพิวเตอร์”
สุดท้าย วรรณกรรมสำหรับเด็ก...พ่อแม่ควรตระหนัก
    “ที่จริงเราอยากให้พ่อแม่ทุกคนตระหนักในเรื่องของการให้เด็กได้อ่านวรรณกรรม เพราะวรรณกรรมจะช่วยเพิ่มพูนทักษะการใช้ภาษาอันละเมียดละไม  ทั้งยังสื่อลักษณะของบุคลิกภาพของตัวละคร  มีวิถีการดำเนินชีวิต มีทัศนคติแฝงอยู่  ขณะที่อ่านเด็กก็จะมีอารมณ์ไปพันเกี่ยวไปกับตัวละคร  เหมือนกับเขาได้ใช้ชีวิตในรูปแบบนั้น  ต้องเข้าใจว่าข้อจำกัดของเด็กๆ คือเขาไม่มีเวลาที่จะใช้ชีวิตหลายๆ รูปแบบได้ แต่วรรณกรรมได้จำลองชีวิตหลายๆ รูปแบบไว้แล้ว และสุดท้าย เขาก็จะเห็นค่าปกติของตัวละครแต่ละตัวว่า วิถีปฏิบัติแบบไหนเหมาะสมหรือบุคลิกภาพอย่างไรเหมาะสม”

“ไม่อยากเชื่อนะว่า เรามีเด็กในวัยเรียนประมาณ 8 ล้านคน ครู 4 แสนคน  แต่พอเราทำหนังสือวรรณกรรมสักเล่มพิมพ์สามพันกลับขายได้ไม่กี่ร้อย  ไม่ใช่ว่าโรงเรียนต่างๆ จะไม่มีเงินซื้อหนังสือ  แต่เราเห็นค่าของวรรณกรรมน้อยไป  นโยบายรัฐบาลเองต้องเปิดเวทีให้หนังสือวรรณกรรมให้ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในชั้นหนังสือห้องสมุดมากๆ ด้วย  โรงเรียนต่างๆ มักถูกกรอบให้ซื้อหนังสือแบบเรียน หนังสือแบบฝึก อะไรเทือกนั้น ในนั้นมีแต่ความรู้อันแห้งแล้งและพร้อมจะตกยุค  ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกอันเป็นสากล”

8 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ23 สิงหาคม 2553 เวลา 10:06

    ในอดีตปราชญ์ คือ ผู้ที่เเสวงหาแนวทาง แนวคิด รูปแบบวิธีการใหม่ เขาใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต เเสวงหาเพื่อพิสูจน์ ค้นหา นำเสนอผ่านวรรณกรรม มากมาย ล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่า เพียงเพื่อให้โลกได้เหลียวมอง คำภีร์ ตำรา หนังสือ วรรณกรรมถูกแต่งขึ้นเพื่อบันทึกเรืองราวต่างๆ ที่ทรงคุณค่า หวังเพียงเพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้พบเห็นได้ศึกษา บางครั้งต้องเกิดสงครามแย่งชิง หรือปกป้องบางอย่างที่คนเหล่านั้นสร้างขึ้น คุณค่าคู่บ้านคู่เมือง ต้องแลกมาด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ หากเราคิดไคร่ครวญก็จะเห็นบางอย่างที่ซ่อนอยู่ที่งดงามมีค่า ตามแต่จะเลือกนำไปใช้ "มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สามารถ สร้างและถ่ายทอดวรรณกรรมได้จากรุ่นสู่รุ่น"

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ23 สิงหาคม 2553 เวลา 10:42

    พวกเราไม่ใช่นักเขียน แต่เป็นชาวนาผู้ปลูกเมล็ดพันธุ์ในใจผู้อ่านด้วยตัวอักษรอย่างตั้งใจ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ23 สิงหาคม 2553 เวลา 22:15

    อย่าว่าแต่อ่านหนังสือเลย ครูหลายๆ คนไม่เคยที่จะเตรียมการสอนประมาณว่าไปตายเอาดาบหน้า บอกสอนสิ่งเดิมๆ ที่ตนเองรู้ ที่ตนเองคิดว่าถูกว่าใช้ สอนยังไงก็ยังงั้นจนเกษียร ถ้าครูเป็นน้ำล้นแก้ว ไม่ปรับไม่เปลี่ยนแล้วใครจะเป็นกระบอกเสียงให้กับเด็กๆ ท่านรู้แล้วว่าอยู่ในกระลามันอึดอัดแค่ไหน อย่าให้เด็กที่อยู่กับท่านต้องมารับความรู้สึกนั้นเลย เปิดมันออกเอาดินใส่ปลูกต้นไม้หรือเอาไว้ให้เด็กตักตวงทรายเล่นก็แล้วกัน

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ25 สิงหาคม 2553 เวลา 08:41

    หนึ่งวรรณกรรม การร้อยเรียงอักษรอันพริ้วไหวของผู้แต่ง นำพาเราสู้ห้วงจินตนาการไร้ขีดจำกัด ล่องลอยสู่โลกอีกใบที่ทับซ้อนกันอยู่อย่างมีความหมาย

    ตอบลบ
  5. ชื่นชมกับผู้เขียนบล็อกนี้ นะครับ โดนใจใช่เลย ที่ว่า วรรณกรรมที่เขียนขึ้นนั้นไม่จำเป็นต้องได้รับรางวัลอะไร แต่ขอให้ผู้ที่อยากให้อ่านได้อ่าน ได้สัมผัส จากชื่อวรรณกรรมแต่ละเรื่องที่นำเสนอมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ผมเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองเกี่ยวกับการถ่ายทอดร้อยเรียงตัวอักษรให้มีความสละสลวยน่าอ่าน หลังจากอ่านวรรณกรรมเพียงไม่กี่เล่ม น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ ถ้าผมเป็นคนรักการอ่าน และถูกปลูกฝังให้รักการอ่านตั้งแต่วัยเยาว์ จะเกิดประโยชน์อย่างมากต่อการถ่ายทอดความคิดเห็นออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้ เป็นที่น่าเสียดาย ที่เป็นคนอ่านหนังสือช้าถึงช้ามาก ขาดการฝึกฝน เพราะฉะนั้น ผมจึงมองหาหนังสือดีๆ สักเล่มเพื่อนำไปเป็นของขวัญน้องๆ หลานๆ และคนอื่นๆ เพียงเพื่อหวังว่าเค้าจะเป็นคนรักการอ่าน

    จากแนวคิดที่ว่า ไม่มีการใช้หนังสือเรียนในวิชาภาษาไทย แต่นำวรรณกรรม 4 ประเภทมาใช้นั้น รู้สึกน่าสนใจสุดๆ สมกับชื่อโรงเรียนที่ว่า 'โรงเรียนนอกกะลา' ที่ไม่คิดอยู่ในกรอบ พยายามที่จะคิดนอกกรอบ นำมาใช้เพื่อเกิดประโยชน์แก่ผู้เรียน ขอยกย่องชมเชยจากใจจริงครับ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ5 กันยายน 2553 เวลา 00:34

    เห็นด้วยกับคุณ Nickoro อย่างมากเลยค่ะ ขอชื่นชม

    ตอบลบ
  7. ผมได้อ่านหนังสือ ชื่อว่า สายลมกับทุ่งหญ้า ของ คุณวิเชียร ไชยบังแล้วนะครับ สนุกมากเลย ทำให้หวนคิดถึงอดีตในวัยเยาว์ วิ่งเล่นตามท้องทุ่งนา กินไข่แมงดากรุ๊บๆ เรื่องราวการใช้ชีวิตในชนบทที่เรียบง่าย ผสมกลมกลืนกับกาลเวลาที่ได้เปลี่ยนแปลงก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ได้กลิ่นไอของธรรมชาติ กลิ่นไอของชนบทขนานแท้เลยทีเดียวเชียว

    ตอบลบ
  8. ถึงแม้ยังไม่เคยอ่านเรื่อง..สายลมกับทุ่งหญ้า.. แต่ฉุกแรกกระหวัดถึงความทรงจำในวัยเยาว์ท่ามกลางท้องทุ่งและสัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติ การได้ออกแบบการเล่นอย่างอิสระ การได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว เพื่อนที่มีกลุ่มอายุหลากหลายเพศวัยที่ร่วมเล่น กิน สนุก หัวเราะ ร้องไห้ ทะเลาะ...ผู้ใหญ่ที่ผ่านการเป็นเด็กมาก่อนและหวลรำลึกถึงความสุขในตอนเด็กและผ่านพ้น เติบโตมาได้อย่างไร การเล่น การคิดอย่างอิสระ ความตื่นตาตื่นใจจากการได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ การได้เรียนรู้และเล่าเรื่องราวให้เพื่อนรุ่นเดียวกันได้รับรู้และส่งถ่ายทอดผ่านให้ผู้ใหญ่...ทำไมการหนีพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ไปเล่นสิ่งที่ผาดโผนโจนทะยานและรอดกลับมาได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจแต่ถ้านึกมาถึงขณะนี้ วัยนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่ไม่สามารถเรียกร้องทดแทนคืนมาได้ ใครจะเสียใจมากที่สุด ดูเหมือนการเรียนรู้จะแลกมาด้วยการเสี่ยง แต่ขณะเดียวกันเราก็ได้เรียนรู้และเติบโตที่รู้จักระมัดระวัง ประมาท สะเพร่าน้อยลง กรอบหรือเส้นที่ขีดไว้ควรมีอย่างพอดี ไม่หลวมโพรก บางเบาจนจับต้องสัมผัสไม่ได้...หรือเส้นหนาทึบกำแพงแข็งเป็กจนอึดอัดหันไปทางไหนก็ตีบตัน...การเรียนรู้ร่วมกัน ก้าวไปพร้อมกัน แลกเปลี่ยนผู้ใหญ่กับเด้ก รับฟังในองศาความคิดเห็นที่เหมาะสม น่าจะช่วยนำพาสู่การเจริญเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและขัดเกลาทิศทางไปพร้อมๆกันน่าจะเข้าท่าเข้าทาง...ขอบคุณกะลาที่หงาย น้ำไม่เต็มแก้ว และใจที่เปิดกว้างทุกผู้คนที่นับวันจะมากขึ้นๆ นะจ๊ะ

    ตอบลบ